หลายคนฝันจะทำธุรกิจโรงแรม เกสต์เฮ้าส์กันเยอะ เพราะอยากวางแผนสร้างความมั่นคงหลังเกษียณ แต่พอเจอสถานการณ์ Covid-19 เข้าไป ไม่ว่าจะเป็นคนที่เพิ่งเปิดโรงแรม เกสเฮ้าต์ โฮมสเตย์ขนาดเล็ก หรือธุรกิจโรงแรมเจ้าใหญ่ ๆ ต่างได้รับผลกระทบร่วงกันระนาว

เหตุผลของที่ล้ม อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าช่วงที่ผ่านมาธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรมต้องแช่แข็ง นักท่องเที่ยวหดหายเพราะล็อกดาวน์ แถมพอเจอกฎห้ามรับลูกค้า เลยทำให้ต้องขาดรายได้ไปเต็ม ๆ กระทั่งล่าสุด หลังจากมาตรการปลดล็อกดาวน์ระยะที่ 3 วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ตอนนี้เขาก็อนุญาตให้เปิดรับนักท่องเที่ยวได้แล้ว

ทว่าโรงแรมก็ไม่ต่างจากสถานที่อื่น ๆ ที่ต้องปรับตัวและปรับสถานที่เช่นเดียวกัน BuilderNews จึงขอสรุปรายละเอียดการปรับตัวที่โรงแรมต้องมีถ้าอยากเปิดรับคนที่เรารวบรวมข้อมูลจาก CNN  ส่วนใครที่กระหายการไปเที่ยวก็อย่าเพิ่งวางใจ เช็กให้ดีก่อนว่าโรงแรมที่เราเตรียมเข้าพัก เขาเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้ก่อนเช็กอินเพื่อความปลอดภัยหรือไม่

  1. มาตรการล็อบบี้และทางเข้า

อย่างที่เราคงจะพอรู้อยู่แล้วว่าล็อบบี้คือศูนย์รวมคนจากทางเข้าที่พักโรงแรม ยิ่งคนมาออกันเยอะความปลอดภัยก็น้อยลงเท่านั้น ถ้าเราจะสังเกตว่าเราควรจะพักที่นั่นไหม ก็ควรต้องรู้วิธีการรับคนตั้งแต่แรกเข้าเลยว่าเขาเตรียมตัวไว้อย่างดีหรือยัง

เราจะยกตัวอย่างบางอย่างที่โรงแรมในหลายประเทศทั่วโลกเขาเริ่มใช้กันเพื่อแก้ปัญหาลดจำนวนคนบริเวณล็อบบี้กัน สรุปเป็นข้อ ๆ ดังนี้

  • จำกัดจำนวนทางเข้า จากเดิมที่เคยเข้าได้หลายช่องทางต้องลดลงเพื่อให้จำกัดและสามารถควบคุมการเข้า-ออกของคนในโรงแรมได้อย่างทั่วถึง โดยกำหนดให้ต้องตรวจบริเวณทางเข้าก่อนเช็กอินทุกครั้ง ป้องกันให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้า-ออกบริเวณโรงแรม
  • ติดตั้งเครื่องตัววัดอุณหภูมิแบบเลี้ยงการสัมผัสบริเวณทางเข้า ข้อนี้อาจจะไม่ได้เหมาะกับโรงแรมทุกแห่งเพราะเท่าที่รู้มาเครื่องตัวหนึ่งก็ราคาโหดอยู่ แต่ถ้าโรงแรมไหนมีกำลังทรัพย์แล้วจะติดไว้ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่สะดวกมาก เพราะการยิงเครื่องวัดอุณหภูมิตรวจคนเข้ามาด้วยการถือเครื่องในมือ บางครั้งเราก็ควบคุมการรอเช็กอินนักท่องเที่ยวแบบเป็นกลุ่มได้ยาก
  • ติดตั้งอุปกรณ์ทำความสะอาด ส่วนนี้ถือว่าเป็นเรื่องพื้นฐาน พวกเจลแอลกอฮอล์ควรติดตั้งไว้หลาย ๆ จุดเพื่อให้นักท่องเที่ยวพร้อมใช้งาน และถ้าใครอยากเลี่ยงสัมผัส สร้างกลไกแบบเหยียบได้จะดีมาก ๆ
  1. สะอาดระดับเซียน

เรื่องนี้ถือว่าเป็นมาตรฐานที่เน้นไม่ต่างจากทางเข้า ทุกที่จะต้องทำคล้าย ๆ กันคือการเฟ้นหาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ได้รับการรับรองว่ามีมาตรฐานมาใช้เพื่อทำความสะอาดบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ ในโรงแรม สำหรับ AIrbnb หนึ่งในผู้ให้บริการที่พักทั่วมุมโลกระดับสากล เขาก็วางแผนเรื่องให้กับสมาชิกที่ให้บริการที่พัก ด้วยการสร้างมาตรฐานการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและการฆ่าเชื้อโดยให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก CDC (Disease Control and Prevention) หรือศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งอเมริกา

แต่ใช่ว่าจะมีผลิตภัณฑ์ดีอย่างเดียวเท่านั้น ตารางการทำความสะอาดทั้งสถานที่ รวมถึงการรักษาความสะอาดร่างกายของพนักงานที่ใช้สัมผัสเองก็มีผลเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างของโรงแรมในเครือ Marriott เขาก็วางกฎเหล็กให้แม่บ้านทุกคนต้องสวมแมสก์และล้างมือทุก ๆ 20 นาทีระหว่างทำงานเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยกันทุกคน ทั้งพนักงานและลูกค้าที่เข้าพัก

สุดท้ายต้องไม่ลืมเรื่องการกำจัดขยะ แยกพวกขยะที่มีสารคัดหลั่งออกเพื่อนำไปกำจัด ไม่ว่าจะเป็นทิชชู หน้ากากอนามัย ฯลฯ โดยขยะเหล่านี้ต้องใส่ถุงขยะ 2 ชั้นและทำลายเชื้อ โดยราดน้ำยาฟอกขาว จากนั้นมัดปากถุงให้แน่นแล้วนำไปทิ้งรวมกับขยะทั่วไป

  1. บริการบางอย่างต้องหายไป

ถึงการบริการจะเป็นหัวใจสำคัญของโรงแรม แต่สถานการณ์แบบนี้ทำให้โรงแรมทุกระดับต้องปรับรูปแบบการให้บริการ บางอย่างอาจเคยเป็นจุดขายได้ราคาก็ต้องหาทางปรับตัวให้เหมาะสม

เริ่มต้นที่บริการอาหาร ปกติโรงแรมมักจะมีมื้อเช้าฟรีเป็นมินิบาร์ให้ทุกคนมาเติม มาตักบริการตัวเองได้ตามสบาย แต่สถานการณ์นี้มินิบาร์ถือว่าไม่ตอบโจทย์เพราะมีโอกาสเป็นแหล่งแพร่เชื้อผ่านอาหารได้ ดังนั้น อาหารเช้าควรเป็นแบบเน้นการเสิร์ฟที่โต๊ะ และโต๊ะก็ควรจัดสถานที่แบบเว้นระยะ เช่นเดียวกับร้านอาหาร หรือส่งเสริมการกินอาหารในห้องมากขึ้น

ตามมาด้วยงานนวด งานสปาทรีตเมนต์หน้า หรือซาวน่า โรงแรมไหนมีบริการส่วนนี้ต้องเบรกก่อนทันที เพราะยังวางใจไม่ได้ เนื้อจากต้องสัมผัสตัวคนจำนวนมาก

  1. รูปแบบการเช็กอิน-เช็กเอ้าต์ที่เปลี่ยนไป

อย่างที่เราเห็นว่าห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อเขาก็ลงทะเบียนกับ “ไทยชนะ” ผ่าน QR กัน โรงแรมเองก็คงต้องใช้หลักการเดียวกันเพื่อเลี่ยงการสัมผัสระหว่างบุคคลเวลาเข้าพัก

ด้านระบบจ่ายเงินก็ควรปรับเป็นระบบ cashless เพื่อเลี่ยงการสัมผัสธนบัตร แต่สำหรับเรื่องการรับคีย์การ์ดหรือกุญแจเข้าพัก แนะนำว่าก่อนส่งให้ลูกค้าและรับกลับมาควรเช็ดทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์เสมอ

  1. การจัดพื้นที่ให้โปร่งโล่ง เหมาะแก่การเว้นระยะห่างทางสังคม

นอกจากการเตรียมอุปกรณ์จำเป็นทั้งหลายเข้ามาเสริม ส่วนที่เคยแน่น การวางเฟอร์นิเจอร์เองก็ต้องปรับเปลี่ยนไปเหมือนกัน โดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะของโรงแรม เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งหมดที่ทำมาสนับสนุนสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด แนะนำว่าให้เปลี่ยนห้องพักสักห้องไว้เป็นห้องเก็บเฟอร์นิเจอร์บางตัวออกไป และหาเทปหรืออุปกรณ์อะไรมาติดทำสัญลักษณ์เว้นระยะห่างไว้ให้พร้อม เท่านั้นก็ถือว่าครบถ้วน

สำหรับใครที่อยากเช็กรายละเอียดแบบยิบ ๆ นอกเหนือจากนี้เพื่อไม่ให้พลาด เราก็แนะนำให้เข้าไปอ่านและติดตามได้จากเว็บไซต์ official ของกรมควบคุมโรคได้เลยในนี้ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/im_commands.php

ยอมรับว่าเราเองก็ชีพจรลงเท้า ตอนนี้รู้สึกอยากจะไปเที่ยวแทบแย่แล้วเหมือนกัน แต่ก็ยังอยู่ระหว่างเช็กสถานที่พักเพื่อความปลอดภัย จะได้เที่ยวผ่อนคลายแบบสนุก ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองและคนที่ไปด้วย เมื่อวิกฤตนี้ผ่านไป รับรองว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดคุ้มค่าการรอคอยอย่างแน่นอน

 

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:

  1. https://edition.cnn.com/travel/article/hotels-safety-coronavirus/
  2. https://news.airbnb.com/our-enhanced-cleaning-initiative-for-the-future-of-travel/
  3. https://www.cntraveler.com/story/what-hotels-will-look-like-after-coronavirus
Previous articleแต่งห้องสไตล์ลอฟท์แบบง่าย ๆ ด้วยกระเบื้องคัมพานา
Next articleเพิ่มมิติให้ภายนอกอาคารโดดเด่นง่าย ๆ ด้วยคิ้วบัวโฟมสำเร็จรูปจาก ELITE Décor