คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นำทีมผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ลงพื้นที่ตรวจความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างคลังน้ำมันและท่อส่งน้ำมัน เอ็นเอฟซีที (NFCT Terminal) ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยระบุโครงการดังกล่าวจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายการจัดส่งน้ำมันในระดับภูมิภาค ขณะเดียวกันยังมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ ตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชน และตอบโจทย์นโยบายรัฐด้านการลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจเป้าหมาย คาดสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2564

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุว่า โครงการฯดังกล่าว ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งเป็นที่พื้นที่พัฒนาตามเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การลงทุน เพื่อสร้างโครงข่ายการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ที่สมบูรณ์เชื่อมโยง 3 ระบบ ทั้งระบบถนน ระบบราง เรือ และอากาศ โดยเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ โดยเชื่อมั่นว่าเมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและเปิดโอกาสให้มีการค้าน้ำมันในระดับภูมิภาค เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภคต่อไปในอนาคต  อีกทั้งยังจะช่วยส่งเสริมนโยบายต่างๆ ของภาครัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ของประเทศได้เป็นอย่างดี

“โครงการดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมความมั่นคงและยั่งยืนด้านพลังงาน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระดับภูมิภาค รองรับความต้องการเชื้อเพลิงของภาคการขนส่งและคมนาคม และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐด้านต่างๆ รวมทั้งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ของประเทศได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางพลังงานที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียนอย่างแท้จริง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว

ด้าน คุณสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการคลังน้ำมันและท่อส่งน้ำมัน ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง บนพื้นที่ประมาณ 43 ไร่ โดยเป็นการเช่าพื้นที่ กนอ.ของบริษัท เอ็นเอฟซีที จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อรองรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมด้านพลังงาน และสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่ายในการจัดส่งน้ำมันระดับภูมิภาค ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยโครงการดังกล่าวฯ ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนรวมโครงการฯ อยู่ที่ประมาณ 2,570 ล้านบาท หรือ ประมาณ 83 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี 2564

“สำหรับการก่อสร้างคลังน้ำมันและท่อส่งน้ำมันของบริษัท เอ็นเอฟซีที จำกัด กนอ.มองว่ามีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ต่อยอดสู่การพัฒนาทุกด้าน และตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชน มีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจของภูมิภาค เพิ่มประสิทธิภาพของระบบ โลจิสติกส์ เสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่ายน้ำมันของประเทศและภูมิภาคให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปด้วยกัน”นางสาวสมจิณณ์ พิลึก กล่าว

ขณะที่ คุณณัฐพงษ์ รัตนสุวรรณทวี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็นเอฟซีที จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งในโครงการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิง และบริการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ โดยโครงการดังกล่าว ถือเป็นการลงทุนเพื่อขยายขอบเขตธุรกิจการให้บริการด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้าเหลวของกลุ่มบริษัทเอ็นเอฟซี เพื่อสนับสนุนรายได้ให้แก่ธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายและกระจายความเสี่ยงของการลงทุน บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่า โครงการดังกล่าว จะช่วยเสริมศักยภาพและส่งผลให้ธุรกิจในภูมิภาคเติบโตมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ โครงการฯ ประกอบด้วย คลังน้ำมัน และถังจัดเก็บน้ำมันแก๊สโซลีนพื้นฐาน จำนวน 6 ถัง ขนาดความจุรวม 90 ล้านลิตร เพื่อใช้รองรับน้ำมันที่ขนถ่ายมาจากเรือขนน้ำมันนำเข้าขนาดกลาง (medium range) ก่อนที่จะขนสูบผ่าน 2 ทาง คือ ผ่านท่อขนส่งน้ำมันเข้าสู่ระบบท่อส่งน้ำมันของผู้ประกอบการขนส่งน้ำมันทางท่อ และเข้าสู่เรือขนส่งน้ำมัน.

Previous article“เอเอ็มอาร์ เอเซีย” จับมือ “โชคนำชัย ไฮ-เทค เพรสซิ่ง” พัฒนาโครงการระบบตัวรถไฟฟ้าขนาดรอง (Feeder Line)
Next articleสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน จับมือ BUILK Thailand จัดหลักสูตรอบรมเพื่อยกระดับและพัฒนาธุรกิจรับสร้างบ้าน ครั้งที่ 3
Ton Suwat
คอลัมนิสต์หนุ่ม ผู้หลงไหลในสถาปัตยกรรมไทยอีสาน และความง่ายงามตามวิถีชนบท