อย่างที่เราทราบกันดีว่าช่วงเหตุการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจประสบปัญหาไม่น้อย และธุรกิจ Co-working Space เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เราเชื่อว่าต้องเจอกับวิกฤตไม่น้อยเลยทีเดียว
วันนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณเรย์ แทน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลีแห่ง WeWork Start-up Unicorn อันดับ 4 ของโลก มีสาขามากถึง 828 สาขา ใน 38 ประเทศทั่วโลก เรียกได้ว่า เป็น Start-up สาย Co-Working Space ที่ร้อนแรงสุด ๆ แห่งหนึ่ง ถึงเรื่องราว ผลกระทบ การปรับตัว และการแก้ไขสถานการณ์เพื่อให้ธุรกิจขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างไร
Co-Working Space โตขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนการแพร่ระบาดของ Covid-19
คุณเรย์ แทนเล่าให้ฟังว่าธุรกิจ Co-Working Space ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย WeWork ได้ศึกษาร่วมกับ IDC (ข้อมูล IDC Info Brief: Co-Working for Enterprise – A Southeast Asian Perspective, February 2020) และพบว่า มีองค์กรที่ใช้พื้นที่ทำงานร่วมกัน (shared workspaces) ถึง 17% และอีก 70% กำลังวางแผนที่จะใช้พื้นที่ทำงานร่วมกันในอีก 1-3 ปีข้างหน้า
ซึ่ง WeWork ให้ความสำคัญกับการเป็นพื้นที่ให้บริการตามความต้องการ (space-as-a-service) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และส่งผลให้ WeWork มีการเติบโตเพิ่มขึ้น เปิดสาขาได้มากกว่า 32 แห่งใน 6 ประเทศภายในเวลาไม่ถึง 3 ปี จำนวนโต๊ะทำงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่านับตั้งแต่ปี 2562 มีลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ชั้นนำเช่น Stripe, Thales, Sinarmas, Petronas, Lotte รวมไปถึงหน่วยงานของภาครัฐ เพิ่มขึ้น 9%
WeWork เห็นว่าผู้คนและองค์กรต่าง ๆ เริ่มเข้าใจความหมายของ Co-Working Space มากขึ้น ทำให้จำนวนโต๊ะทำงานเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มีลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่กว่า 52% จากสมาชิกทั้งหมดของ WeWork ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับประเทศไทย ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการธุรกิจ SME และลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ โดยมีการเติบโตกว่า 10% ในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19 (มีนาคม-กรกฎาคม 2563) Co-Working Space เป็นที่น่าจับตามอง เปรียบเสมือนพันธมิตรที่สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกด้วยความที่อยู่ใจกลางเมือง และบริษัทนานาชาติก็สามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของ WeWork ในการขยายตลาดได้
ประสบการณ์การรับมือและการปรับตัว ทำให้จัดการกับสถานการณ์ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในไทย WeWork ได้มีประสบการณ์การรับมือและปรับตัวกับการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในประเทศจีนก่อนหน้า จึงทำให้มีข้อมูลเชิงลึกและทำให้ทีมปฏิบัติการในแต่ละพื้นที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถลงมือจัดการกับสถานการณ์นี้ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
ในช่วงการแพร่ระบาด WeWork เปิดให้บริการเฉพาะที่มีความจำเป็นเท่านั้น โดยสมาชิกยังคงสามารถเข้าใช้พื้นที่ทำงานในแต่ละสาขาได้ WeWork ได้ออกมาตรการที่มุ่งเน้นความปลอดภัยและสุขอนามัย และปฏิบัติตามกฎและคำแนะนำของรัฐบาล รวมถึงปรับลดการจัดงานทั้งภายในและภายนอกสำนักงาน
เมื่อวิถีชีวิตต้องปรับเปลี่ยนไปในรูปแบบใหม่ บริษัทต่าง ๆ มองหาวิธีการที่จะปรับตัวเพื่อให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคมและปรับกลยุทธ์ใหม่ WeWork ได้ทบทวนผลตอบรับในช่วงที่ผ่านมา พร้อมทั้งทำงานร่วมกับพันธมิตรและหน่วยงานรัฐบาลเพื่อปรับปรุงทั้งในเรื่องของความปลอดภัย ความสะอาด รูปแบบอาคาร และการตกแต่ง
สิ่งเหล่านี้เป็นหนทางที่ทำให้เกิดแนวคิดเรื่อง “อนาคตของสถานที่ทำงาน” ซึ่งจะเป็นเรื่องสำคัญที่ WeWork จะมุ่งเน้นและเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานในสภาพแวดล้อมใหม่ โดย 3 สิ่งที่จะเป็นอนาคตของสถานที่ทำงานและยังคงมอบความสะดวกสบายและความปลอดภัย คือ
- การเว้นระยะห่าง: WeWork ปรับเปลี่ยนพื้นที่ส่วนกลางเพื่อลดความหนาแน่นและเพิ่มระยะห่างทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการจัดตำแหน่งที่นั่งในเลานจ์ ห้องประชุม พื้นที่ส่วนกลาง รวมไปถึงการกั้นพื้นที่ใช้งานเพื่อให้มีระยะห่างที่มากขึ้น
- ความสะอาดและการรักษาสุขอนามัยที่เพิ่มมากขึ้น: WeWork ได้ออกมาตรการด้านความสะอาดและนำมาปรับใช้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาด และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องและได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับพื้นที่การให้บริการ
- ป้ายคำแนะนำ: WeWork ทำการติดตั้งป้ายคำแนะนำอย่างชัดเจน เช่น ป้ายบอกทางสำหรับพื้นที่ที่มีการเปิดทางเดินเดียว หรือป้ายจำนวนผู้เข้าใช้ห้องประชุมที่อนุญาต เพื่อรองรับกับมาตรฐานและการปรับพื้นที่ใหม่
นอกจากนี้ WeWork ยังร่วมมือกับฝ่ายอื่น ๆ นอกองค์กรอย่างฝ่ายบริหารจัดการอาคารไปจนถึงหน่วยงานของภาครัฐ เพื่อสร้างมาตรการที่สอดคล้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด WeWork พร้อมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และมั่นใจว่าประสบการณ์และกำลังความสามารถจะตอบโจทย์ความต้องการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้
Social Distancing ไม่ใช่อุปสรรคของ WeWork ด้วยพื้นที่การทำงานแบบยืดหยุ่น
Covid-19 ทำให้บริษัทขนาดใหญ่เริ่มคิดหากลยุทธ์ของสถานที่ทำงานใหม่ โดยเน้นในเรื่องการปรับขนาด ความยืดหยุ่น และประสิทธิภาพ WeWork พบว่าบริษัทหลายแห่งมองหาวิธีการที่จะนำนโยบายเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคมมาใช้โดยที่ยังคงสร้างความรู้สึกของการเป็นหนึ่งเดียวอยู่ รวมถึงการเว้นระยะห่างที่จะไม่มีผลกับการร่วมมือของพนักงาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจ
WeWork เห็นว่าสมาชิกจำนวนมากต่างมีความเข้าใจและมีวิธีการเชิงรุกในการปรับตัวกับเรื่องนี้ ในช่วงเดือนมีนาคม-กรกฎาคม สัดส่วนของสมาชิกที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น 11% และสำหรับประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 10%
ในขณะที่การเว้นระยะห่างเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานรูปแบบใหม่ WeWork พร้อมเป็นพันธมิตรกับบริษัทต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือในด้านการจัดการพื้นที่การทำงานในแบบยืดหยุ่น ดังนี้
- การเป็นฮับ: บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งกำลังมองหาทำเลใหม่เพื่อกระจายพนักงานโดยที่ยังสามารถเชื่อมถึงกันและคงวัฒนธรรมเดิมของบริษัทได้อยู่
– เช่น WeWork ทำงานกับบริษัทหลายแห่งที่ติดอันดับ Fortune 50 เพื่อขยายสาขา โดยมีสำนักงานใหญ่ที่ทำเลหนึ่งของ WeWork เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือในการดำเนินการของสำนักงานย่อยที่ WeWork ในสาขาอื่น ๆ
- การแทนที่ของระบบเดิมอย่างมีขั้นตอน: หลายภาคส่วนได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงของการแพร่ระบาดและต้องการการสนับสนุนจาก WeWork เพื่อช่วยในการดำเนินการและโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคต
– เช่น WeWork เพิ่งร่วมงานกับบริษัทแห่งหนึ่งที่ต้องการปรับขนาดพื้นที่การทำงานเนื่องจากสำนักงานที่เคยตั้งอยู่มีราคาและขนาดที่ไม่ตรงกับความต้องการโดยเฉพาะหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของ Covid-19 WeWork ช่วยในการหาพื้นที่ที่เหมาะสมและตั้งอยู่ในศูนย์กลางทางธุรกิจ ซึ่งยังช่วยสร้างโอกาสให้ขยายธุรกิจต่อเมื่ออุตสาหกรรมฟื้นตัว
- ออฟฟิศที่ 3: สนับสนุนให้พนักงานสามารถทำงานที่ WeWork ในสาขาต่าง ๆ ได้แทนที่การทำงานที่บ้าน
- การปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลง:
– องค์กรต่าง ๆ จะต้องการพื้นที่ที่มากขึ้นเพื่อให้มีระยะห่างระหว่างโต๊ะทำงาน รวมถึงการมีสาขาเพิ่มเพื่อรองรับการกระจายของพนักงาน
– หลายบริษัทต้องเผชิญกับปัญหาของการมีพื้นที่จำกัด หลาย ๆ แห่งยังต้องเผชิญความกดดันที่จะเพิ่มมาตรการความสะอาดให้กับพนักงาน จึงมีบริษัทจำนวนมากที่หันมาเข้าร่วมกับ WeWork เพื่อใช้อุปกรณ์ที่ครบครันของเรา รวมถึงประสบการณ์การทำงานและมาตราการความสะอาดที่เพียบพร้อม
- ตอบสนองความต้องการของการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง:
องค์กรใหญ่ ๆ อย่างบริษัทเทคโนโลยี การเงิน หรือราชการ มักจะมีแผนการดำเนินการและแผนดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องที่ถูกวางไว้อยู่แล้ว แต่กับบริษัทขนาดเล็กอย่าง Start-up หรือ SME ที่อาจไม่มีความช่วยเหลือด้านการเงินที่มากพอในระยะยาวจะส่งกระทบต่อการวางแผนดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง บริษัทหลายที่เริ่มวางกลยุทธ์เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในระยะยาวนี้ โดยเฉพาะพื้นที่การทำงานที่สร้างความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจได้
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างบทเรียนและทำให้ทุกคนมองหาวิธีการเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต WeWork พร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าองค์กรเพื่อรักษาความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน และยังคงส่งเสริมการสร้าง Connection ความร่วมมือ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน
อนาคตที่เปลี่ยนไปของ Co-Working Space จะเปลี่ยนไปหลัง Covid-19
Co-Working Space ได้พิสูจน์แล้วว่ามีความสำคัญต่อผู้ประกอบการและลูกค้าองค์กร เพราะสามารถตอบโจทย์ในการช่วยทั้งในเรื่องของการกระจายพนักงาน การวางแผนดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และความคล่องตัวของสถานที่ทำงาน
WeWork ได้รวบรวมข้อมูลจากการพูดคุยกับผู้บริหารจากธุรกิจชั้นนำทั้งในแถบเอเชียและทั่วโลกเพื่อสร้างความเข้าใจว่าบริษัทต่าง ๆ มีการรับมือกับรูปแบบใหม่ของการทำงานอย่างไร ผลที่ได้รับค่อนข้างชัดเจนคือบริษัทหลายแห่งต่างปรับเปลี่ยนพื้นที่การทำงานให้เข้ากับชีวิตวิถีใหม่ โดยให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น ความเชื่อมั่น และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน
ในขณะที่บริษัทต่าง ๆ กำลังปรับเปลี่ยนกลยุทธ์สำหรับพื้นที่ทำงานใหม่ การดำเนินธุรกิจหลังจากนี้ก็จะต้องถูกปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมด้วยเช่นกัน การเปลี่ยนมาใช้พื้นที่ทำงานที่มีความยืดหยุ่นต่างจากสำนักงานรูปแบบดั้งเดิมคือความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดรวมถึงการกลับมาทบทวนความต้องการของบริษัททั้งในปัจจุบันและอนาคต
กลยุทธ์สำหรับพื้นที่ทำงานยุคใหม่จะให้ความสำคัญกับเรื่องต่อไปนี้
- ความยืดหยุ่นของพื้นที่ทำงาน
– บริษัทให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงระบบอย่างมีขั้นตอน หรือการค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนเข้าสู่วิถีใหม่ เพื่อรองรับความต้องการในการมีระยะห่างทางสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่สนับสนุนให้พนักงานสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในยุคใหม่และมีความเชื่อมั่นที่จะกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศ และนี่คือเหตุผลที่ WeWork ทำงานอย่างใกล้ชิดกับสมาชิกเพื่อจะได้เข้าใจถึงความต้องการ ซึ่งเป็นที่มาที่ WeWork เป็นตัวเลือกสำหรับบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 มีออฟฟิศในย่านศูนย์กลางธุรกิจ รวมไปถึงการสนองความต้องการของบริษัทที่มีนโยบายเรื่องระยะห่างของโต๊ะทำงาน 2 เมตร (แทนมาตรฐาน 1 เมตร)
- ต้นทุนการดำเนินการและค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม
– บริษัทต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายมากกว่าที่เคย บริษัทที่อยู่ในระหว่างการขยายธุรกิจนั้นจะดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังมากขึ้น สำหรับบริษัทที่ต้องลดขนาดเพราะผลกระทบจากโควิด-19 ก็ดำเนินธุรกิจอย่างมีความหวังที่จะขยายกิจการเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ
– ในแง่ของการผูกมัดกับการเช่าพื้นที่สำนักงาน บริษัทหลายแห่งเปลี่ยนจากสัญญาเช่าระยะยาวมาเป็นการใช้พื้นที่สำนักงานที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการอย่างเช่นที่ WeWork ซึ่งช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ลดค่าใช้จ่ายไปได้ถึงครึ่งหนึ่ง
– บทเรียนสำคัญจากโควิด-19 คือความไม่แน่นอนและความรวดเร็วของความเปลี่ยนแปลง ในสถานการณ์แบบนี้บริษัทต่างต้องตัดสินใจเรื่องการดำเนินการอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ WeWork ให้ความช่วยเหลือได้ และยังช่วยในการปรับขนาดสำนักงานตามความต้องการได้เร็วกว่า 3 เท่าของสำนักงานรูปแบบดั้งเดิม
– สำคัญที่สุดคือเรื่องของความสะอาดและสุขอนามัย ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทุกคนมองหา แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับบริษัท มาตรการด้านความสะอาดของ WeWork จึงทำให้บริษัทไม่ต้องวุ่นวายในการจัดหาด้วยตัวเอง ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และสามารถโฟกัสไปที่การดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มที่
- ประสบการณ์ของพนักงาน
– สมาชิก WeWork แสดงความต้องการว่าอยากกลับมาทำงานและระบุว่า คิดถึงออฟฟิศและสังคมที่ทำงาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการทำงานที่ WeWork มีส่วนในประสิทธิภาพของการทำงาน การสร้างแรงบันดาลใจ และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
– นอกเหนือจากการตกแต่งที่สวยงามของสถานที่ทำงานที่ช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานและการร่วมมือของพนักงานเพิ่มขึ้นแล้ว ฝ่ายชุมชนของ WeWork ยังคงมีส่วนร่วมกับสมาชิกและร่วมพัฒนาไอเดียและโครงการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
Covid-19 คือวิกฤตที่มาพร้อมโอกาส ไม่ใช่จุดจบแต่เป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจให้เดินหน้าต่อไป
Covid-19 ทำให้หลาย ๆ บริษัท เรียนรู้และเข้าใจว่า Co-Working Space ไม่ใช่แค่สถานที่ทำงานสำหรับบุคคลทั่วไปหรือ SME เท่านั้นแต่ตอบโจทย์ความต้องการให้กับองค์กรขนาดใหญ่อีกด้วย ซึ่งองค์กรขนาดใหญ่ให้ความสนใจกับข้อเสนอที่ยืดหยุ่นของ WeWork รวมถึงความช่วยเหลือในด้านการปรับขนาดองค์กร เพื่อเปลี่ยนแปลงจากสัญญาการเช่าสำนักงานแบบเดิม ๆ และพัฒนาองค์กรให้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 หลายบริษัทให้ความสำคัญกับบทบาทของสำนักงานมากขึ้น หลายแห่งเริ่มนำ “โมเดลไฮบริด” (Hybrid Model) มาปรับใช้กับธุรกิจ ซึ่งทำให้สามารถปรับเปลี่ยนข้อตกลงของสถานที่ทำงาน ทำงานในรูปแบบที่ยืดหยุ่นได้กว่าเดิม และมีทางเลือกที่มากขึ้นในการเดินทางของพนักงาน
WeWork มั่นใจว่า สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ นำเสนอทางเลือกและให้ความช่วยเหลือองค์กรที่ต้องการสนับสนุนให้พนักงานมีพื้นที่การทำงานและระยะห่างที่เหมาะสม และ WeWork ยังยืนหยัดที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทยต่อไป