วัสดุที่ใช้ภายในอาคารในช่วงการก่อสร้างมีสารที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ ซึ่งนอกจากสารอันตรายเหล่านั้น กิจกรรมก่อสร้างก็สามารถนำสารปนเปื้อนอื่นๆ เข้ามาสะสมในสภาพแวดล้อมในอาคารเช่นกัน โดยสารอันตรายเหล่านั้นได้แก่ ฟอร์มันดีไฮด์ สารอินทรีย์ระเหยง่าย ฝุ่นละออง โอโซนแก๊สที่เผาผลาญจากอุปกรณ์ที่ใช้น้ำมัน และอากาศภายนอกจากอาคารรอบข้างมีกลิ่น หรือสารอันตรายอื่น ๆ ดังนั้นการลดสารอันตรายเหล่านั้นก่อนการเข้าใช้งานอาคารเป็นส่วนสำคัญ สำหรับการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งานอาคาร ซึ่งส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยจากสภาพแวดล้อมในอาคารที่ไม่มีคุณภาพลดน้อยลง และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อองค์กรที่เข้ามาใช้งานภายในอาคาร
กลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับแสดงว่าคุณภาพภายในอาคารนั้นมีคุณภาพที่ดี คือ การทดสอบระดับมลภาวะภายในอาคาร จากการตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในอาคารหลังจากการก่อสร้างเสร็จสิ้น และเป็นระยะเวลาก่อนการเข้าใช้งานอาคาร ซึ่งการตรวจสอบต้องตรวจวัดอากาศในสภาพตามที่มีการใช้งานอาคารตามปกติ
สารปนเปื้อนที่ควรดำเนินการตรวจสอบ และความเข้มข้นในอากาศสูงสุดของแต่ละชนิดสารปนเปื้อน ขึ้นอยู่กับมาตรฐานที่ใช้ในการอ้างอิง สำหรับมาตรฐาน LEED 2009 จะให้ดำเนินการตรวจสอบสารปนเปื้อนตามตารางด้านล่าง
ซึ่งในกรณีที่พบพื้นที่ที่มีค่าความเข้มข้นของสารปนเปื้อนชนิดใดสูงกว่าค่าสูงสุด ควรพิจารณาการดำเนินการเป่าอากาศที่หมุนเวียนในพื้นที่นั้น ให้เกิดระบายออกไปสู่ภายนอกอาคาร ด้วยการดูดอากาศจากภายนอกอาคารเข้ามาแทนที่อากาศที่หมุนเวียนอยู่ภายใน เราเรียกการดำเนินการนี้ว่าการ Flush-out
ในกรณีที่ประเมินว่าอากาศภายในอาคารมีการปนเปื้อนสารอันตรายจากวัสดุและกิจกรรมการก่อสร้างในปริมาณที่สูง เนื่องจากการเลือกใช้วัสดุ หรือการดำเนินแผนการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารระหว่างการก่อสร้างมีประสิทธิภาพต่ำ ให้ดำเนินการปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคารด้วยกลยุทธ์การ Flush-out ภายในอาคารทั้งหมดก่อนการตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคาร โดยควรจะดำเนินการนำอากาศภายนอกเข้ามาแทนที่อากาศภายในอาคารในปริมาณ 3.55 ลิตรต่อวินาทีต่อตารางเมตร (0.7 ลูกบาศก์ฟุตต่อนาทีต่อตารางฟุต) เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ตลอดเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นปริมาณที่เกณฑ์ประเมินอาคารเขียวของสหรัฐอเมริกา หรือ LEED ประเมินว่าเป็นปริมาณที่พอเพียงต่อการปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร (เป็นที่มาของตัวเลขปริมาณ 14,000 ลูกบาศก์ฟุตของปริมาณอากาศภายนอกต่อตารางฟุตของพื้นที่ภายในอาคาร โดยในหน่วย SI จะประมาณเท่ากับ 4,270 ลิตร ของปริมาณอากาศภายนอกต่อตารางเมตรของพื้นที่ภายในอาคาร) นอกจากนั้นต้องควบคุมสภาวะอากาศภายในให้มีอุณหภูมิระหว่าง 15-27 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่า 60% (สำหรับเพดานอุณหภูมิภายในอาคารที่ 27 องศาเซลเซียส ถูกกำหนดในเกณฑ์ประเมินอาคารเขียว LEED Version 4) เพื่อป้องกันความเสียหายต่อวัสดุในอาคารที่เกิดจากความชื้น และการเกิดแหล่งกำเนิดเชื้อราขึ้นภายในอาคาร
นิตยสาร Builder Vol.28 FEBRUARY 2016
เรื่อง: ผศ.ดร.จตุวัฒน์ วโรดมพันธ์, LEED AP, TREES Founder
และ สุขสันติ์ ยงวัฒนานันท์ LEED Green Associate,
TREES Associates Executive Green Building Service, ISET (Thailand) Ltd.