หลอดไฟ LED หรือ Light Emitting Diode นั้น เป็นหลอดไฟที่มีหลักการทำงานโดยกล่าวได้ง่าย ๆ คือ เป็นหลอดไฟที่ปล่อยให้กระแสไฟฟ้าวิ่งไปในทิศทางเดียว ให้ผ่านสารกึ่งตัวนำไฟฟ้าประเภทไดโอด จนทำให้เกิดการเปล่งแสงออกมาเป็นสีต่าง ๆ ตามคลื่นความถี่ที่เปล่งออกมาได้ เราจึงมักจะได้ยินอีกชื่อหนึ่งของหลอดไฟ LED ว่า “หลอดไดโอดเปล่งแสง”

หลอดไฟ LED หรือ “หลอดไดโอดเปล่งแสง” จะมีคลื่นความถี่ที่เปล่งออกมาโดยในแต่ละความถี่นั้น สีที่ได้ก็แตกต่างกันออกไปด้วย อาทิ ที่คลื่นความถี่ประมาณ 630 นาโนเมตร จะได้แสงสีแดง, ประมาณ 468 นาโมเมตร จะได้แสงสีเหลือง และประมาณ 462 นาโนเมตร จะได้แสงสีขาว เป็นต้น

888888

คุณสมบัติและหลักการทำงานของหลอดไฟ LED นั้นแตกต่างจากหลอดไฟชนิดเก่า ๆ ที่เราเคยใช้กันมา ไม่ว่าจะเป็นหลอดไส้ที่อาศัยกระแสไฟฟ้า ทำให้ขดลวดขั้วหลอดที่อยู่ในหลอดบรรจุก๊าซเฉื่อยร้อนจัดจนเปล่งแสงสว่างออกมา ซึ่งต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากและยังปลดปล่อยความร้อนออกมาอีกด้วย แม้กระทั่งหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขั้วหลอดให้ได้ความร้อนในระดับหนึ่ง เพื่อไปกระตุ้นให้สารเรืองแสง ได้แก่สารปรอทที่บรรจุอยู่ในหลอดเปล่งแสงออกมา

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลอด LED นี้ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าหลอดชนิดอื่นตามที่ได้กล่าวไว้ในกรณีที่เปรียบเทียบในระดับการปล่อยความเข้มแสงที่เท่ากัน อีกทั้งความร้อนที่หลอด LED ปลดปล่อยออกมานั้นมีปริมาณน้อยกว่าหลอดไส้และหลอดฟลูออเรสเซนต์ ทำให้หลอด LED มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า จึงทำให้ปัจจุบันมีการส่งเสริมให้ใช้หลอด LED กันอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีการรณรงค์ให้เปลี่ยนพฤติกรรมและหันมาใช้หลอดไฟ LED และเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับหลอดไฟ LED สำหรับหลอดไฟ LED ที่ได้รับการรับรองฉลากเบอร์ 5 ต้องมีการใช้งานยาวนานไม่น้อยกว่า 15,000 ชั่วโมง และประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่า 85% เมื่อเทียบกับหลอดไส้ โดย กฟผ. ระบุว่าได้ประสานงานกับผู้ประกอบการจำนวน 8 ราย ให้ลดราคาหลอด LED ชนิด Bulb ในราคาพิเศษ และบรรจุลงในกล่อง กฟผ. จำหน่าย พร้อมประสานงานการจำหน่ายผ่านผู้จัดจำหน่ายชั้นนำทั่วประเทศ ส่งผลให้ปัจจุบันมียอดการจำหน่ายประมาณ 500,000 หลอด (ที่มา: http://www.egat.co.th)

นอกเหนือจากนั้นหลอดไฟ LED ก็ยังเป็นที่นิยมใช้ในโครงการอาคารเขียวอีกด้วย เนื่องจากคุณสมบัติของหลอดไฟ LED ไม่ได้ประกอบด้วยสารโลหะหนักโดยเฉพาะสารปรอท จึงถือว่าหลอดไฟ LED นั้น เป็น No-Mercury Lamp
ซึ่งจะสามารถพิจารณาทำคะแนนในหัวข้อ Sustainable purchasing-reduced mercury in lamps สำหรับข้อกำหนด LEED O+M: Existing Buildings Version 3 ได้ โดยผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายหลอดไฟ LED จำเป็นต้องแสดงการยืนยันในประเด็นดังกล่าว เพื่อยื่นขอการรับรองในลำดับต่อไป

SONY DSC
SONY DSC

อีกคุณสมบัติในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าของหลอดไฟ LED นั้น คือทำให้สามารถลดจำนวนดวงโคมลงได้ เมื่อพิจารณาถึงค่าส่องสว่างในแต่ละพื้นที่เท่ากันตามกฎหมายหรือข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง นั่นหมายความถึงค่า Lighting Power Density หรือปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อวัตถุประสงค์การส่องสว่างจะต่ำลงตามไปด้วย ผลพลอยได้คือ การประหยัดพลังงานไฟฟ้าของอาคารหรือโครงการโดยรวมนั่นเอง ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อการดำเนินงานโครงการอาคารเขียว ไม่ว่าจะเป็นกรณีอาคารเก่าสำหรับ LEED O+M: Existing Buildings และอาคารใหม่สำหรับ LEED New Construction and Major Renovations และไม่ว่าจะเป็นประเภทอาคารแบบ Retails หรือไม่ก็ตาม การประหยัดพลังงานก็จะส่งผลดีต่อโครงการในแง่ของ Energy Saving ทั้งสิ้น

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันการเลือกใช้หลอดไฟ LED ยังมีมูลค่าต้นทุนที่สูงกว่าหลอดไฟชนิดอื่น ๆ หากแต่เมื่อพิจารณาถึงอายุการใช้งานที่สูงกว่า ก็เป็นความท้าทายของเจ้าของโครงการที่จะเลือกตัดสินใจหันมาใช้และเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้หลอดไฟจากชนิดเดิม ๆ มาเป็นหลอดไฟ LED หรือไม่นั่นเอง

นิตยสาร Builder Vol.34 AUGUST 2016

Previous articleนายสัมพันธ์ ลู่วีระพันธ์ ขึ้นกุมบังเหียน นวพลาสติกอุตสาหกรรม
Next articleแก้เมืองร้อนด้วยพื้นเย็น หรือ เทคโนโลยี Cool Pavement
ผศ.ดร.จตุวัฒน์ วโรดมพันธ์
LEED AP, TREES FA นักเขียนประจำนิตยสาร Builder อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้าง ผู้เชี่ยวชาญด้านอาคารเขียว และเกณฑ์การประเมิน LEED