“ซิโน-ไทย” ผนึกกำลังการบินกรุงเทพ และ BTS จัดตั้ง “กลุ่มกิจการร่วมค้า BBS” คว้าสัมปทาน 50 ปี จากภาครัฐ และในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 305,555 ล้านบาท พร้อมยกเป็นโครงการแห่งประวัติศาสตร์การก่อสร้างของไทย  คุณภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานแถลงข่าวการพัฒนา “โครงการสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก” ว่า ตนมีความภาคภูมิใจ และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งเป็นโครงการแห่งประวัติศาสตร์การก่อสร้างของไทย  ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดการลงทุนในมิติต่างๆ ในการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ มาสู่พื้นที่เมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยและคนไทยทุกคน 

“บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างเมกะโปรเจคมากว่า 58 ปี โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือมาตรฐานของผลงานก่อสร้างที่มีคุณภาพ ตรงเวลา โดยคำนึงถึงความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และสุขอนามัยเป็นสำคัญ การบริหารงานโครงการฯ โดย บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด ทำให้ซิโน-ไทย มีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของพันธมิตร อันได้แก่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการบิน มากว่า 50 ปี มีความแข็งแกร่งทั้งในเรื่องบริหารสายการบิน รวมถึงการบริหารสนามบิน และบริษัท บีทีเอส โฮล์ดิ้ง กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้มีความเชี่ยวชาญด้าน โลจิสติก ระบบขนส่งทั้งหมด

รวมถึงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เมื่อทั้ง 3 องค์กรจับมือร่วมกันบริหารโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ทำให้มั่นใจถึงความสำเร็จในอนาคต ขอให้ความมั่นใจว่า ซิโน-ไทย บริษัทก่อสร้างของคนไทย จะทุ่มเทกำลังความรู้ ความสามารถ เพื่อดำเนินการก่อสร้างงานสถาปัตยกรรมเมืองการบินที่ยิ่งใหญ่อันทรงคุณค่า สง่างาม ด้วยเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้เป็นที่ภาคภูมิใจต่อคนไทยทั้งประเทศ”  คุณภาคภูมิ กล่าวสำหรับโครงการสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ที่เป็นการต่อยอดความสำเร็จมาจากโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็น “สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ” เพื่อพัฒนาไปสู่ประตูเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เชื่อมต่อสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิด้วยรถไฟความเร็วสูง และ เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โดยรัฐจะได้ผลประโยชน์ ด้านการเงิน 305,555 ล้านบาท ได้ภาษีอากรกว่า 62,000 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานเพิ่ม 15,600 ตำแหน่งต่อปีในระยะ 5 ปีแรกของสัมปทาน พร้อมทั้งเกิดการพัฒนาทักษะบุคลากรด้านธุรกิจการบิน เทคโนโลยีองค์ความรู้ด้านธุรกิจการบิน ซึ่งทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของรัฐเมื่อสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน 50 ปี

ทั้งนี้ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (กลุ่มกิจการร่วมค้า BBS) ผู้ที่ได้รับสัมปทาน 50 ปี จากภาครัฐ และได้ลงนามสัญญาร่วมทุนในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ไปเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมาโดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญา โดย บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (กลุ่มกิจการร่วมค้า BBS)  เกิดจากความร่วมมือจาก  3 บริษัทเอกชนใหญ่ ได้แก่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกันลงทุนประมาณกว่า 290,000 ล้านบาท

โดยใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานจัดเตรียม แผนพัฒนาในด้านต่างๆ พร้อมทั้งยื่นซองเอกสารแสดงเจตจำนงขอเข้าร่วมการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก รวมเวลาดำเนินงาน เจรจาเพียง 47 วัน เป็นระยะเวลาอันรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ เมื่อเทียบกับขนาดโครงการแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่รัฐบาลเคยดำเนินการมาแสดงถึงความพร้อมทางการเงินที่แข็งแกร่ง ความเชี่ยวชาญ และมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสามารถดำเนินการโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกให้เป็น “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation” รวมถึง การเป็นศูนย์กลางของ “มหานครการบินภาคตะวันออก” เป็นการสานต่อเจตนารมณ์ ในการพัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ดจากรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดเป็นเมืองท่าและเมืองธุรกิจสำคัญของประเทศไทย โดยเข้าเชื่อมโยงเป็นส่วนขยายของกรุงเทพฯ และปริมณฑลไปทางตะวันออกที่สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างสะดวกสบาย ทันสมัย ทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ

โดยได้จัดทำแผนการพัฒนาโครงการแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 มีอาคารผู้โดยสารขนาดพื้นที่กว่า 157,000 ตารางเมตร พื้นที่กิจกรรมเชิงพาณิชย์  อาคารจอดรถ ศูนย์ขนส่งภาคพื้นดิน และหลุมจอดอากาศยาน 60 หลุมจอด คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2567 สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 15.9 ล้านคนต่อปี

ระยะที่ 2 อาคารผู้โดยสารมีพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 107,000 ตารางเมตร พร้อมทั้งติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) และระบบทางเดินเลื่อน รวมทั้งเพิ่มหลุมจอดอากาศยานอีก 16 หลุมจอด คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ.2573 โดยประมาณการว่า จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด30 ล้านคนต่อปี 

ระยะที่ 3 เป็นการต่อขยายอาคารผู้โดยสารเพิ่มเติมจากระยะที่ 2 กว่า 107,000 ตารางเมตร เพิ่มจำนวนรถขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) อีก 1 ขบวน รวมทั้งเพิ่มหลุมจอดอากาศยานอีก 34 หลุมจอด คาดว่าจะ แล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2585 ประมาณการรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 45 ล้านคนต่อปี

ระยะที่ 4 หรือระยะสุดท้าย มีพื้นที่อาคารผู้โดยสารหลังที่สองเพิ่มขึ้นกว่า 82,000 ตารางเมตร พร้อมทั้งติดตั้งระบบ Check-in แบบอัตโนมัติ รวมทั้งเพิ่มหลุมจอดอากาศยานอีก 14 หลุมจอด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2598 ประมาณการรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 60 ล้านคนต่อปี

 

 

Previous articleสินค้าใหม่! SANWA “Ball Valve DZR 400 WOG” มิตรแท้คู่โรงงานอุตสาหกรรม
Next articleแค่ Face Shield คงไม่พอ “VYZR” เล่นใหญ่ สร้างหน้ากากฟอกอากาศ ครอบลงไปครึ่งตัว
Ton Suwat
คอลัมนิสต์หนุ่ม ผู้หลงไหลในสถาปัตยกรรมไทยอีสาน และความง่ายงามตามวิถีชนบท