ศูนย์การค้าเมกาบางนา โดย บริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด ร่วมกับ กรมทางหลวง และจังหวัดสมุทรปราการ ได้ดำเนินการเปิดสะพานกลับรถแห่งใหม่ใกล้ทางเข้าศูนย์การค้าเมกาบางนา ในเขตทางหลวงหมายเลข 34 ถนนบางนา – ตราด ช่วงกิโลเมตรที่ 7 โดยได้เปิดให้ประชาชนได้ใช้บริการเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้มุ่งหวังให้สะพานกลับรถแห่งนี้ช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรหนาแน่นบริเวณถนนบางนา – ตราด และอำนวยความสะดวกให้กับชุมชนโดยรอบเมกาบางนา เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ใช้รถใช้ถนนและคนที่อาศัยในย่านบางนาตราด อีกทั้งยังถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงหลักในเส้นทางสายตะวันออกด้วย
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย รองอธิบดีฝ่ายดำเนินงานกรมทางหลวง กล่าวว่า “กรมทางหลวงได้ทำการวางยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่ กรุงเทพฯ ปริมณฑล และเมืองหลัก ทั้งนี้เพราะเราคาดการณ์ไว้ว่าภายในปี 2563 การเดินทางและการขนส่งสาธารณะจะเพิ่มขึ้นถึง 3 ล้านคน – เที่ยวต่อวัน (ทั้งประเทศ) อันสืบเนื่องจากการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนภาคบริการ (ท่องเที่ยว) แม้ว่าปัจจุบันการท่องเที่ยวจะลดลงอันเนื่องมาจากภาวะโควิด-19 ก็ตาม แต่ประชาชนก็ยังเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดราชการ ด้วยสาเหตุความต้องการการใช้ถนนสาธารณะบนสายหลักต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้ความเร็วเฉลี่ยของการเดินทางอยู่ที่ 13.64 กิโลเมตร/ชั่วโมง หมายถึงว่าการเดินทางเข้าพื้นที่กรุงเทพชั้นในต้องใช้เวลาบนถนนมากกว่า 2 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ส่งผลกระทบต่อปริมาณการจราจร โดยเฉพาะพื้นที่รอบกรุงเทพฯ ปริมณฑล และถนนสายหลักที่เชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค”
“การพัฒนาโครงข่ายตลอดจนการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานแบบบูรณาการเป็นพันธกิจหลักของกรมทางหลวง เพราะถนนถือว่าเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานหลักของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ตลอดจนช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ใช้รถใช้ถนน และความร่วมมือระหว่างกรมฯ กับศูนย์การค้าเมกาบางนาในการสร้างสะพานกลับรถบริเวณ กม. 7 นี้ จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรหนาแน่นบนเส้นทางดังกล่าว โดยจะช่วยให้ผู้สัญจรบนท้องถนนได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น” นายอภิรัฐ กล่าวปิดท้าย
นางสาวปพิตชญา สุวรรณดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส เอฟ ดิเวลอปเมนท์ ผู้บริหารศูนย์การค้าเมกาบางนา เปิดเผยว่า “ศูนย์การค้าเมกาบางนายึดมั่นในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตแบบยั่งยืนพร้อมการพัฒนาและสนับสนุนชุมชนโดยรอบเสมอมา ตามแนวคิด “เดอะ เกรท มีทติ้ง เพลส” (The Great Meeting Place) ของกรุงเทพฯ ตะวันออก เราไม่ได้แค่มุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจของเราแต่รวมไปถึงการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อชุมชนโดยรอบของเมกาบางนาด้วย การจราจรบนถนนบางนา-ตราดที่หนาแน่น ทำให้เราเห็นถึงความเดือดร้อนของคนที่อาศัยอยู่โดยรอบ ตลอดจนผู้ใช้รถใช้ถนน รวมไปถึงลูกค้าของเมกาบางนาที่ไม่ว่าจะขับรถมาเองหรือใช้บริการรถสาธารณะ การจราจรติดขัดไม่เพียงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตของคน แต่ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในเรื่องของปรากฏการณ์เรือนกระจกและภาวะโลกร้อนที่รุนแรงมากขึ้น ปัญหาเรื่องรถติดนับเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่สร้างมลภาวะเป็นพิษในอากาศและทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอันเนื่องมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากรถยนต์ ที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไปในบรรยากาศ”
“ซึ่งจากสถิติของสำนักนโยบายและแผนพลังงานของกระทรวงพลังงาน เราพบว่าภายใน 7 เดือนแรกของปี 2563 ประเทศไทยมีอัตราการใช้พลังงานจากเบนซินอยู่ที่ 30 ล้านลิตรต่อวัน และดีเซล 65 ล้านลิตรต่อวัน โดยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคขนส่งทั้งหมดคิดเป็น 33.8 ล้านตัน CO2 และจากข้อมูลของสำนักสิ่งแวดล้อมกรุงเทพและองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่นที่จัดทำคู่มือคลายร้อนให้โลก ทำให้เราทราบว่า การลดการเผาไหม้น้ำมันเบนซินทุก ๆ 1 ลิตร จะทำให้เราสามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ได้ถึง 2.1896 กก. หรือถ้าเป็นน้ำมันดีเซล จะลดได้ถึง 2.708 กก. ดังนั้นการบรรเทาการจราจรติดขัดจึงเป็นหนึ่งในหนทางแก้ปัญหาที่สำคัญ ที่จะช่วยลดทั้งปริมาณการสิ้นเปลืองพลังงานและส่งผลต่อการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณมลพิษทางอากาศให้กับพื้นที่ใกล้เคียงอีกด้วย”
“ศูนย์การค้าเมกาบางนาตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและอยากร่วมแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนบางนา – ตราด เราจึงยินดีให้ความร่วมมือกับกรมทางหลวงและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ศึกษาหาสาเหตุของการจราจรหนาแน่นบนถนนเส้นนี้ โดยพบว่าส่วนหนึ่งของรถติดสะสมบนถนนบางนา-ตราด ขาเข้า อยู่บริเวณสะพานกลับรถช่วงกิโลเมตรที่ 4.5 โดยรถยนต์ส่วนมากใช้เพื่อกลับรถและมุ่งหน้าไปยังถนนวงแหวนตะวันออกที่เชื่อมต่อ ทั้งมอเตอร์เวย์ และไปยังชลบุรี รวมถึงเชื่อมต่อกับถนนกาญจนาภิเษกไปยังภาคใต้ ทั้งนี้จุดกลับรถดังกล่าวอยู่ห่างจากศูนย์การค้าฯ ประมาณ 4 กิโลเมตร ดังนั้นเพื่อสร้างโครงข่ายการเชื่อมต่อแบบบูรณาการและบรรเทาการจราจรหนาแน่นบริเวณจุดกลับเดิม อีกทั้งยังช่วยลดอัตรารถติดสะสมบนถนน เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างมากที่จะร่วมมือกับกรมทางหลวงและให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสะพานกลับรถบริเวณกิโลเมตร 7 หลังจากที่เปิดให้บริการพบว่าช่วยย่นระยะเวลาเดินทางได้มากถึง 10 นาที อีกทั้งยังลดอัตราการใช้น้ำมันและปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อันเกิดจากการเผาไหม้ และที่สำคัญช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนที่ใช้รถใช้ถนนดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น”
“นอกเหนือจากการพัฒนาธุรกิจให้เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงแล้ว เรายังสนใจในเรื่องของการดูแลสิ่งแวดล้อมทั้งภายในที่ของเราและพื้นที่โดยรอบ มีหลายโครงการที่เราได้ริเริ่มและทำจนสำเร็จซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ไม่ว่าจะเป็นโครงการพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์เพื่อผลิตพลังงานสีเขียวป้อนให้กับระบบเครือข่ายไฟฟ้าของไทยขนาด 1 เมกะวัตต์ โครงการโรงบำบัดน้ำเสียที่จะช่วยบำบัดน้ำเสียได้มากถึง 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบปรับอากาศเพื่อการประหยัดพลังงาน การสร้างสวนสาธารณะให้เป็นปอดของชุมชนบนพื้นที่กว่า 7 ไร่ และยังมีอีกหลายโครงการที่เราวางแผนไว้ในอนาคต โดยจุดประสงค์สำคัญคือการทำธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนของเรา เรามองว่าเราเป็นมากกว่าศูนย์การค้าทั่ว ๆ ไป แต่เราคือ มีทติ้งเพลส เป็นสถานที่ที่มอบแต่เรื่องราวดีดีให้กับทุกคน ไม่ว่าจะในฐานะองค์กรธุรกิจ ที่ส่งมอบการเติบโตแบบยั่งยืน หรือในฐานะศูนย์การค้าที่มอบสุดยอดประสบการณ์การช้อปปิ้งให้กับลูกค้าของพวกเรา” นางสาวปพิตชญา กล่าวสรุป
โครงการสะพานกลับรถแห่งใหม่ในเขตทางหลวงหมายเลข 34 ถนนบางนา – ตราด ช่วงกิโลเมตรที่ 7 นี้ ดำเนินการก่อสร้างภายใต้การควบคุมและบริหารจัดการของ กรมทางหลวง พร้อมได้รับความร่วมมือในการเชื่อมโครงสร้างกับทางยกระดับบูรพาวิถีจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ได้มีการตรวจสอบความเรียบร้อยของโครงสร้างจากผู้ชำนาญการเพื่อสร้างความมั่นใจและเพื่อความปลอดภัยของผู้ที่ใช้บริการสะพานแห่งนี้ด้วย ซึ่งสะพานกลับรถนี้ได้ถูกส่งมอบให้กับอยู่ในการดูแลของจังหวัดสมุทรปราการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นถาวรวัตถุสาธารณประโยชน์แก่ประชาชนได้ใช้ร่วมกัน ช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรให้กับชุมชนโดยรอบ