“อิตัลไทยวิศวกรรม” ภายใต้ อิตัลไทย กรุ๊ป ฉลองก้าวสู่ปีที่ 50 บุกตลาดไม่หยุดหลังแตกไลน์ธุรกิจด้านบริหารจัดการน้ำ (น้ำดี และน้ำเสีย) และโรงไฟฟ้าพลังงานชีวภาพและชีวมวลในปีที่ผ่านมา ปิดยอดรายได้ปี 58 ที่ 5,181 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย (4,647 ล้านบาท) 11% และเพิ่มจากปี 2557 (3,224 ล้านบาท) กว่า 61% และในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมกำลังผลิตรวมกว่า 100 MW พร้อมผนึกพันธมิตรเปิดตลาดในพม่า โดยมุ่งเน้นธุรกิจพลังงานทางเลือก และเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มอุตสาหกรรม ICT รวมถึงงานวางระบบสื่อสาร และโทรคมนาคมสำหรับโครงการพื้นฐานด้านสื่อสาร และขนส่งมวลชน พร้อมตั้งเป้าปี 59 กวาดรายได้ไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาท และเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8 พันล้านบาทภายใน 5 ปี
นายสกล เหล่าสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด หรือ (ITALTHAI Engineering : ITE) หนึ่งในบริษัทผู้นำตลาดทางด้านวิศวกรรม ภายใต้ “อิตัลไทย กรุ๊ป” เปิดเผยว่า ในปี 2559 ถือได้ว่าบริษัทก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 โดยที่ผ่านมาถือได้ว่า ITE เป็นผู้นำตลาดในการให้บริการงานก่อสร้างแบบครบวงจร สำหรับงานระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ โรงไฟฟ้า สถานีไฟฟ้า รวมไปถึงงานวิศวกรรมระบบไฟฟ้าและเครื่องกล โดยในปัจจุบันเราแบ่งหน่วยงานออกเป็น 4 สายงานตามอุตสาหกรรมและความชำนาญเฉพาะด้าน คือ ฝ่ายผู้เชี่ยวชาญระบบไฟฟ้า – รับงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าและสายส่งไฟฟ้าแรงสูง, ฝ่ายธุรกิจพลังงาน – รับงานก่อสร้างในส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนและพลังงานทางเลือก (โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวลและพลังงานจากขยะ), ฝ่ายงานโครงการ – รับงานสร้างโรงงานอุตสาหกรรมหนัก (อุตสาหกรรมปิโตรเคมี น้ำมันและแก๊สธรรมชาติ เหมืองแร่) โรงงานและโรงเก็บสินค้า รวมถึงงานติดตั้งเครื่องกลและระบบไฟฟ้า และ ฝ่ายงานระบบอาคาร – รับงานก่อสร้างในส่วนของระบบสาธารณูปโภคทั้งหมดของอาคารตั้งแต่ ไฟฟ้า ประปา ลิฟท์ ระบบดับเพลิง ระบบอินเทอร์เน็ต
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการขยายธุรกิจทั้งส่วน ระบบบริหารจัดการน้ำ ในกลุ่มปิโตรเคมี และพลังงาน และในธุรกิจก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล และโรงไฟฟ้าพลังงานจากขยะ ซึ่งอยู่ระหว่างการเข้าประมูลงาน โดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่ได้รับใบอนุญาตแล้ว และผู้ที่กำลังขอใบอนุญาต
ซึ่งในปีที่ผ่านมา 2558 บริษัทฯ มีรายได้กว่า 5,181 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย (4,647 ล้านบาท) 11% และเพิ่มจากปี 2557 (3,224 ล้านบาท) กว่า 61% โดยแบ่งสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจด้านสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนกว่า 45% งานระบบโรงงานอุตสาหกรรม และอาคารสูง 35% และสร้างสถานีไฟฟ้าย่อย 20%
นายสกล กล่าวต่อไปว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถก่อสร้างในกลุ่มของพลังงานงานทดแทนที่มีกำลังผลิตรวมกว่า 100MW โดยแบ่งเป็นการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม (Wind Farm) 10MW พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) 93.7MW และยังมีโครงการชัยภูมิวินด์ฟาร์ม อีก 80MW ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2559 นี้อีกด้วย
ปัจจุบันบริษัทฯ มีการดำเนินการก่อสร้าง และซ่อมบำรุงในงานต่างๆ อาทิ งานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยระบบ 115 kV แบบ GIS ของการไฟฟ้านครหลวงได้แก่ สถานีพร้อมพงษ์ คลองกระเทียม คลองสิบศอก และสถานีย่อยรัตนาธิเบศร์ งานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้แก่ ก่อสร้างปรับปรุงสถานีไฟฟ้าระบบ 22, 23 kV จาก Outdoor เป็น Indoor ที่สถานีไฟฟ้านครศรีธรรมราช 1, เพชรบุรี 1, พุนพิน 1 และทุ่งสง งานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยระบบ 115 kV เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี และโครงการซ่อมบำรุงสถานีบริการน้ำมันคาลเท๊กซ์ทั่วประเทศ, โครงการระบบสายส่งไฟฟ้า และระบบท่อส่งไอน้ำสำหรับนิคมอุตสาหกรรมบางปู ระบบท่อน้ำ Recycle/Wastewater สำหรับโรงไฟฟ้าบางปู, โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมชัยภูมิ และเลียบชายฝั่ง-ปากพนัง และโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ยันฮี โซล่า 3 รวมถึงงานก่อสร้างโรงงาน, อาคารของกลุ่มปิโตรเคมีและน้ำมัน
“และในปี 2559 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาระบบการบริหารอย่างต่อเนื่อง และยกระดับมาตรฐานระบบการบริหารคุณภาพสู่มาตรฐาน ISO9001 ใน Version ใหม่ 2015 พร้อมเข้าสู่มาตรฐานระบบบริหารด้านความปลอดภัยชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในระดับสากล ได้แก่ OHSAS18001 และ ISO14001 รองรับการแข่งขันในระดับนานาชาติ รวมถึงการลงทุนบุคลากรในหน่วยงานด้านพัฒนาธุรกิจ เพื่อขยายฐานลูกค้าและการรับงานในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโต อาทิเช่น อุตสาหกรรม ICT และงานวางระบบสื่อสารและโทรคมนาคม สำหรับโครงการพื้นฐานด้านสื่อสารและขนส่งมวลชน และการพัฒนาความรู้ความสามารถและเพิ่มศักยภาพของบุคลากรเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารและติดต่องานอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายธุรกิจสู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ในรูปแบบการรับเหมาก่อสร้างในกลุ่มธุรกิจพลังงาน และ ICT และในปี 59 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ในระดับ 5.6 พันล้านบาท และเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8 พันล้านบาทภายใน 5 ปี” นายสกล กล่าวปิดท้าย