เจ.เอส.พี. เดินหน้าบุกตลาดแนวราบ มูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท พร้อมทยอยเปิดโครงการใหม่ ตั้งแต่ ไตรมาส 4/2559 หวังรองรับดันยอดโตทะลุเป้าปี 60 เตรียมเผยกลยุทธ์ J ID มาตรฐานของบ้านชาญฉลาด การันตีทุกหลังคุ้มค่า ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี.แอสพลัส จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า การดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2559 ตอนนี้บริษัทได้ทำการเปิดขายเพิ่ม 4 โครงการใหม่ และบ้านรุ่นใหม่ในอีก 3 โครงการเดิมกลุ่ม เจ.เอส.พี. ซิตี้ รวมมูลค่าราว 4,000 ล้านบาท โดยโครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ เจ คอนโด พระราม 2 ติดเซ็นทรัลพระราม 2 ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน เป็นคอนโดโลว์ไรส์ (Low rise) 8 ชั้น จำนวน 158 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 265 ล้านบาท และถัดมาคือ โครงการ เจ แกรนด์ สาทร – กัลปพฤกษ์ ทาวน์โฮม 3 ชั้น 5 ห้องนอน รองรับครอบครัวใหญ่ ติดถนนใหญ่แห่งเดียวในกัลปพฤกษ์ จำนวน 133 ยูนิต มูลค่าโครงการ 610 ล้านบาท ในขณะเดียวกันก็พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบ Mix Use โครงการ เจ ซิตี้ รัตนาธิเบศร์–บางบัวทอง ประกอบด้วยอาคารพาณิชย์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ขยายพื้นที่สีเขียวมากถึง 10 ไร่ สัมผัสธรรมชาติได้ 360 องศา และใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง อีกทั้งยังคงติดถนนใหญ่ ตอบโจทย์ทุกการเดินทางที่สะดวกสบาย สำหรับปี 2560 เปิดเฟสแรก มูลค่าโครงการ 687 ล้านบาท และโครงการ เจ ซิตี้ ติวานนท์-บางกะดี่ ทาวน์โฮมและบ้านแฝด River View เปิดเฟสแรก มูลค่าโครงการ 458 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 4 โครงการนี้จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ในช่วงไตรมาส 3/2560 เป็นต้นไป
“บริษัทต้องการพัฒนาในโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อสร้างมิติใหม่และสร้างความชัดเจนในตัวสินค้า และเพื่อให้แบรนด์สินค้าเป็นที่จดจำของผู้บริโภค โดยได้มีการพัฒนาแบบบ้านขึ้นมาใหม่ ภายใต้แบรนด์ “เจ ซีรี่ส์” เน้นกลยุทธ์ คือเจาะกลุ่มตลาดระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้าบาท เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักซึ่งอยู่ในระดับC+ ขึ้นไป เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นายไพโรจน์ กล่าว
ปัจจุบันโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ของเจ.เอส.พี.จะถูกตอกย้ำความเป็นแบรนด์ของดี คุ้มค่าต่อราคา มีประสิทธิภาพ ด้วย J ID หรือ J Intelligent Design เครื่องหมายมาตรฐานของบ้านชาญฉลาด โดยล่าสุดได้ออกตัวไปพร้อมกับ 4 โครงการใหม่ โดยJ ID ถือเป็นโลโก้มาตรฐานแนวคิดหลักในบ้านทุกหลังของเจ.เอส.พี. คำนึงถึงการออกแบบอย่างชาญฉลาดในทุกด้านและประยุกต์ศาสตร์ฮวงจุ้ยของการอยู่อาศัยที่ดี เพื่ออำนวยความสะดวกสบายสูงสุดให้แก่ลูกบ้าน ซึ่งเป็นเครื่องหมายการันตีให้กับผู้อยู่อาศัยว่า สามารถตอบโจทย์บ้านที่สุดของความคุ้มค่าใน 4 ด้าน ได้แก่ i Function พัฒนาการออกแบบที่ปรับทิศทางองค์ประกอบต่างๆ ของบ้านให้สามารถขยายพื้นที่ เพิ่มอรรถประโยชน์ใช้สอยได้อย่างกว้างขวางเต็มประสิทธิภาพ มาพร้อมกับ i Energy เพิ่มการออกแบบที่ ใส่ใจรายละเอียดด้านการประหยัดพลังงาน เปิดรับแสงธรรมชาติให้เข้าถึงได้ง่ายทำให้บ้านสว่าง และด้าน i color คือการออกแบบที่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยโดยการเลือกโทนสี ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกผ่อนคลายและสีไม่ล้าสมัย สุดท้ายคือด้าน i Connect การออกแบบที่คำนึงถึงความสะดวกสบายของลูกบ้าน โดยการเพิ่มในส่วนพื้นที่ของ Club House และ Co-working Space เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย และเชื่อมทุกความสัมพันธ์ภายในครอบครัวตั้งแต่อยู่ในโครงการ
นายไพโรจน์ กล่าวต่อว่า สินค้าของ เจ.เอส.พี. มีจุดแข็งในด้านศักยภาพของเรื่องต้นทุนที่ดินและทำเลที่ตั้งเป็นหลัก พร้อมรูปแบบบ้าน design ใหม่ที่ทันสมัย ฟังก์ชั่นลงตัวที่ขยายพื้นที่ใช้สอยให้มากขึ้นในขนาดบ้านที่เท่าเดิม ด้วยมาตรฐานของ J ID และระบบงานก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน ซึ่งด้วยประสิทธิภาพเหล่านี้จึงทำให้บ้านของ เจ.เอส.พี. สามารถตอบโจทย์ลูกค้าผู้อยู่อาศัยได้ และทำให้เกิดความคุ้มค่าประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า ตัวอย่างโครงการซิกเนเจอร์ของเจ.เอส.พี. ที่เห็นได้ชัดในเรื่องของความโดดเด่นของทุกด้านที่กล่าวมา คือโครงการ ไมอามีคอนโด บางปู ทำเลติดถนนสุขุมวิทและทะเลบางปู พื้นที่ 120 ไร่ ลักษณะโครงการจะสร้างเป็น 2 โซน มีทั้งโซนบ้านพักอาศัย อาคารชุด พักอาศัย และโซนไลฟ์สไตล์ มอลล์ ชื่อว่า ไมอามี่ เบย์ไซด์ ที่ล่าสุดตอนนี้ได้เริ่มเปิดให้บริการแล้ว โดยมีร้านอาหาร ร้านค้าแบรนด์ดังมากมาย เช่น แม็คโคร ฟูดเซอร์วิส, ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านชาบู,ร้านขนมหวานเกาหลี บิงซู เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ที่สามารถขึ้นไปชมวิวบางปูได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว ทั้งนี้ยังสามารถรองรับกลุ่มลูกค้าผู้อยู่อาศัยทั้งภายในโครงการและลูกค้าทั่วไป รวมถึงนักท่องเที่ยวอีกด้วย
นอกจากนี้ นายไพโรจน์ ยังกล่าวเพิ่มเติมในเรื่องผลประกอบการตลอด 3 ไตรมาสนี้ให้ฟังว่า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมานี้ บริษัทมีรายได้รวมแล้วกว่า 1,677 ล้านบาท โดยในระยะเวลา 10 เดือนบริษัทสามารถทำยอดขายได้ราว 2,800 ล้านบาท จากยอดขาย โครงการ 1. สำเพ็ง 2 มูลค่า 470 ล้านบาท 2. ทิวลิป ไมอามี่ และ เจ.เอส.พี ซิตี้ แพรกษา โครงการละ 380 ล้านบาท 3. เจ.เอส.พี ซิตี้ บางปะกง 440 ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วงไตรมาส 4/2559 เฉพาะเดือนตุลาคมเดือนเดียว บริษัทได้มียอดโอนกรรมสิทธิ์แล้วกว่า 500 ล้านบาท ในขณะที่ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่อีกประมาณ 5,600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงปลายปีนี้ 2,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลืออีก 3,600 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ถึงในปี 2561
“ปัจจัยหลักของการเติบโตในด้านยอดขายปีนี้ เนื่องมาจากการที่บริษัทใช้กลยุทธ์ในการเน้นเปิดแนวราบเพิ่มมากขึ้น โดยเห็นได้จากแนวราบมีสัดส่วนยอดขายถึงกว่า 70% อีกทั้งบริษัทยังเล็งเห็นโอกาสสำหรับการจับกลุ่มแนวราบ ในตลาดระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้าบาท ซึ่งจะยังสามารถเติบโตไปได้ต่อ จึงได้เดินหน้าเปิดเพิ่มอีก 4 โครงการ ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำว่าบริษัทได้ดำเนินแผนกลยุทธ์มาอย่างถูกทางและมั่นคง โดยทำให้มั่นใจได้ว่าสิ้นปี บริษัทจะมีรายได้เข้าเป้า 4,000 ล้านบาทตามที่ตั้งไว้ พร้อมมั่นใจปัจจัยต่างๆ ที่บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ใหม่เหล่านี้ จะผลักดันให้กลุ่มแนวราบเติบโตและได้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ในปี 2560 อย่างแน่นอน ส่วนรายได้ปีหน้าปักธงอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท” นายไพโรจน์ กล่าวสรุป