เทสล่า เอ็นจิเนียริ่ง” ผู้เชี่ยวชาญงานปรับระดับพื้นและนำเข้านวัตกรรมการฉีดสารโพลียูรีเทน จากประเทศสหรัฐอเมริกา มั่นใจยอดรายได้เติบโตต่อเนื่อง ไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี หลังทั้งภาครัฐ อุตสาหกรรม และครัวเรือนเริ่มกลับมาลงทุนในงานปรับปรุงซ่อมแซมสภาพถนน สะพาน โรงงาน และอาคารที่พักอาศัยมากขึ้น อีกทั้งนวัตกรรมการฉีดสารโพลียูรีเทนเพื่อยกระดับพื้นกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศไทยคุณอภิวิชญ์ สวัสดิ์วุฒิชัยกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เทสล่า เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด กล่าวว่า การทรุดตัวตามบ้านหรืออาคารโรงงาน หรือแม้แต่ตามท้องถนนเป็นปัญหาที่เกิดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพและปริมณฑล เพราะเป็นพื้นที่ที่มีสภาพดินอ่อนนุ่ม โครงการที่พักอาศัยหลายแห่งสร้างอยู่บนที่ดินที่ถมใหม่ ที่ดินบางแห่งเดิมเป็นแหล่งน้ำ บวกกับการก่อสร้างโรงงานโกดังบางที่ก็ไม่ได้ลงเสาเข็ม หรือการต่อเติมดัดแปลงบ้านพักหรืออาคารที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นจนเกิดการทรุดตัว วิธีการแก้ปัญหานี้ที่ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนต้องการไม่เพียงแต่จะต้องรวดเร็ว ประหยัด แต่ยังต้องปลอดภัย และไม่สร้างมลพิษ ทำให้นวัตกรรมการฉีดสารโพลียูรีเทนของบริษัทฯ ได้รับความสนใจมากขึ้น

“นวัตกรรมของเรา เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากสหรัฐอเมริกา มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูง สำหรับงานยกปรับระดับพื้นทรุดและงานอุดโพรง ไม่ทำให้เกิดฝุ่น ไม่สกปรกเลอะเทอะ และไม่สร้างเสียงรบกวน การฉีดสารโพลียูรีเทนเพื่อเพิ่มกำลังรับน้ำหนักให้กับชั้นดินที่ทรุดตัวสามารถช่วยประหยัดเวลาในการซ่อมแซม ไม่ต้องทุบพื้นเก่าเพื่อทำใหม่ หลังจากฉีดเสร็จสามารถเปิดพื้นที่ใช้งานได้ใน 15 นาที งานส่วนมากใช้เวลาแล้วเสร็จเพียง 1 วัน และเนื่องจากการฉีดสารโพลียูรีเทนเป็นการซ่อมพื้นแบบเฉพาะจุด ทำให้ไม่ต้องปิดพื้นที่บริเวณอื่นโดยรอบ หรือเคลื่อนย้ายเครื่องจักรและสิ่งของออกจากพื้นที่ จึงไม่ทำให้ลูกค้าเสียโอกาสทางธุรกิจ หรือในงานซ่อมแซมพื้นถนนและคอสะพาน ก็สามารถทำเสร็จอย่างรวดเร็วในเวลาที่จำกัด รบกวนการจราจรบนท้องถนนได้น้อยที่สุด ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้” คุณอภิวิชญ์กล่าวสำหรับเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงช่วยปรับระดับพื้นให้กลับมาเรียบเสมอ แต่ยังเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักได้ถึง 20 ตันต่อตารางเมตร และมีความสามารถในการยกน้ำหนักได้ถึง 50 ตันต่อตารางเมตร จุดเด่นอีกข้อที่ทำให้เทคโนโลยีนี้ได้รับความนิยมจากลูกค้าครัวเรือนและโรงงานอุตสาหกรรมก็คือความสามารถในการทำงานในที่แคบ เพราะใช้สายฉีดยาวถึง 90 เมตร จึงเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นช่องว่างด้านหลังกำแพงต่อเติม พื้นใต้ชั้นวางสินค้า พื้นใต้เครื่องจักร หรือพื้นที่อับอากาศ

“เดิมทีลูกค้าหลักของบริษัทฯ เป็นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมแถบภาคตะวันออก แต่เริ่มขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น มารองรับงานราชการและงานบ้านพักอาศัยในกรุงเทพและปริมณฑล เพราะมีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ยิ่งหลังจากที่รัฐบาลประกาศคลายล็อคตั้งแต่เดือนมิถุนายนและเริ่มกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ความต้องการในงานปรับปรุงซ่อมแซมสภาพเส้นทางจราจร ไม่ว่าจะเป็นถนน บริเวณคอสะพาน หรือสภาพพื้นในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ รวมไปถึงบ้านพักอาศัยที่มีปัญหาการทรุดตัวก็กลับมาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และในหลายงานก็เป็นกรณีเร่งด่วน ซึ่งต้องเข้าไปแก้ไขในทันที จนจากเดิมที่บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโตเมื่อต้นปีไว้ที่ 10% ได้ขยับเป้าขึ้นมาที่ 20% และเชื่อว่าจะสามารถรักษาการเติบโตในอัตรานี้ต่อไปได้อีกไม่น้อยกว่า 10 ปี” คุณอภิวิชญ์ กล่าว

Previous articleนักวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีเคลือบนาโน หนุนการท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืน
Next articleกทม.เพิ่มช่องทางพร้อมขยายเวลา “จ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” อำนวยความสะดวกให้ประชาชน
Ton Suwat
คอลัมนิสต์หนุ่ม ผู้หลงไหลในสถาปัตยกรรมไทยอีสาน และความง่ายงามตามวิถีชนบท