โควิด-19 ทำให้เราทุกคนต้องรักษาระยะห่างระหว่างกัน กักตัวแยกกัน และไม่สามารถที่จะนั่งทำงานรวมกันได้อย่างปกติ ในขณะที่ธุรกิจ Co-working Space กลับเป็นพื้นที่ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นการรวมคนให้มานั่งทำงานอยู่ที่เดียวกัน ซึ่งขัดต่อมาตรการและการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิดเป็นอย่างมาก ดังนั้นหลายคนคงนึกสงสัยในใจว่าแล้วตกลงอนาคตของ Co-working Space จะเป็นเช่นไร? เจ้าของกิจการเหล่านั้นจะสามารถดำเนินธุรกิจประเภทนี้ต่อไปได้หรือไม่?

แต่ด้วยมุมมองและแนวคิดของ “คุณปรินท์ สารสิน” Business Opportunity Manager ของ Glowfish ผู้พาธุรกิจให้ดำเนินต่อไปได้ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจทำให้คุณมองธุรกิจ Co-working Space ต่างออกไปจากเดิมและสามารถหาคำตอบของคำถามนั้นได้ด้วยตัวของคุณเอง

Glowfish Co-working Space กับการมองตัวเองว่าเป็น Flexible Work Space เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลาย

เรามองว่าพื้นที่ทำงานไม่จำเป็นต้องเป็นกายภาพเสมอไป ไม่จำเป็นต้องมานั่งทำงานที่นี่เท่านั้น แต่ต้องยืดหยุ่น (Flexible) บางคนทำงานที่บ้านก็ใช้ที่อยู่ของ Glowfish เป็นที่อยู่เพื่อรับพัสดุได้ เป็นอีกหนึ่งในบริการที่มี ซึ่งเรียกว่า Visual officeนอกจากนี้ยังมี Meeting space สำหรับคนที่อยู่ไกลหรือบริษัทสตาร์ทอัพก็อาจนัดมาเจอกันที่นี่ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางออกให้แก่ลูกค้า

นอกจากนี้ยังมี Service office และกิจกรรมต่าง ๆ รองรับ เช่น ห้องออกกำลังกาย ห้องซ้อมดนตรี มีกิจกรรมเป็นประจำทุกเดือน ทั้งยังมี Conference space พื้นที่ประมาณ 300 ตารางเมตร สำหรับบริษัทใหญ่ ๆ หรือบริษัทที่ไม่สามารถจ่ายเงินเพื่อสร้าง Conference hall หรือ Hall ใหญ่ ๆ ได้ และ Dining Hall ไว้ทานอาหารทั้งหมด 5 ร้าน โดยรวมคือเป็น Co-working Space แบบ Collaborative เน้นการรวมตัวกันของผู้ประกอบการรายเล็กรายใหญ่ หลาย ๆ สาย ทั้ง ศิลปิน Developer ฯลฯ

 

โควิด-19 ทำให้หลาย ๆ กิจกรรมต้องหยุดชะงัก

ก่อนเกิดโควิดกิจการดำเนินไปได้ดีมาก มีกิจกรรมเยอะมากที่เตรียมตัวจะจัด ยกตัวอย่างเช่น Creator Labs ซึ่งได้ผลตอบรับดีมาก มีการรวมศิลปิน 14 คน และ 1 Workshop ให้ศิลปินได้ใช้พื้นที่ในออฟฟิศมาตกแต่งเป็นสตูดิโอของตัวเองให้คนมาเยี่ยมชม ทั้งคนนอกและคนในออฟฟิศประมาณ 1 เดือน ทำให้คนมองว่าศิลปะกับชีวิตการทำงานมันไม่ได้ห่างกันขนาดนั้น มีแพลนกิจกรรม Film Market มีปาร์ตี้งานดนตรีแบบ Open jam ที่เปิดให้พนักงานออฟฟิศสามารถมาเล่นดนตรีได้ทุกวันจันทร์ เพราะย่านนี้มีนักดนตรีเยอะแต่ไม่มีที่ให้แสดง พวกเราเตรียมตัวเยอะมากจนมันมีโควิดนี่แหละ ทำให้ต้องพักกิจกรรมที่เป็นกายภาพทั้งหมดไว้ก่อน

 

“ความยืดหยุ่น” คือ Core Product ที่ทำให้รับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที

พอเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เรากลับมาดู Core product ว่าอะไรทำให้ Glowfish เป็น Glowfish ได้ สุดท้ายเลยมองว่า “ความยืดหยุ่น” ค่อนข้างสำคัญ ไม่ได้จบแค่พอจัดอะไรไม่ได้แล้วหยุด หรือปิดไปเลย Glowfish ก็ไม่ได้ปิด ไม่ได้หยุด แล้วมาดูว่าอะไรที่ตอบโจทย์ลูกค้าเรา ดูว่าพื้นที่ที่มีสามารถปรับเป็นอะไรได้บ้าง เช่น ออฟฟิศ ลูกค้ายังต้องมาทำงาน ดูว่าลูกค้าทำงานจากที่บ้านมากน้อยแค่ไหน ทำยังไงให้ปลอดภัยในการใช้ชีวิตแต่ก็ยังสามารถรักษาระยะห่าง หรือป้องกันการแพร่ระบาดตามกฎหมายได้อยู่

ตอนนี้มีบริการใหม่ ๆ มากมาย เช่น Virtual office ซึ่งมันตอบโจทย์กับยุคนี้ มี Personal storage เพราะลูกค้าบางคนไม่สามารถมาทำงานได้ แต่ก็ยังอยากเก็บของในออฟฟิศ จึงให้เขาฝากของไว้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาในออฟฟิศ คิดเงินตามวันเวลาที่เข้ามา และปรับการจ่ายเงินเป็นรายเดือน รายอาทิตย์ หรือรายวันได้ ทำให้คนสามารถดีไซน์การทำงานให้ตรงกับความสะดวกได้

 

การรับมือที่ดูแลทั้งลูกค้า พนักงานและธุรกิจได้อย่างสมดุล

จริง ๆ ช่วงเกิดโควิดก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน เช่น Event space นั้นมีมูลค่าเยอะ แต่ไม่สามารถจัดได้ ซึ่งปกติมีอีเวนต์เกือบทุกวันแต่ถูกเลื่อนหมดเลย ทว่าบางกิจกรรมที่อยากจัดจริง ๆ ก็พยายามหาทางออกให้ลูกค้าดำเนินการต่อไปได้ด้วย Live streaming เช่น งานสัมมนา Press conference หรือ Product launching สุดท้ายทำให้ได้ลูกค้า Live streaming มากขึ้นด้วย เป็นการเปิดช่องทางใหม่ไปในตัว

ส่วนวิธีรับมือของพนักงานคือการ Work from home จัดอีเวนต์ออนไลน์ เช่น การ Live ในอินสตราแกรม ให้ศิลปินที่เคยมาแสดงงานวาดรูปได้นำรูปไปประมูลเพื่อนำเงินไปบริจาคโรงพยาบาล มูลนิธิที่ขาดอุปกรณ์ ฯลฯ พยายามเคลื่อนไหวให้ลูกค้ารู้ว่าเรายังมีตัวตน ยังทำงานอยู่ และพยายามรักษามาตรการอย่างเคร่งครัด มีการตรวจวัดอุณหภูมิ วางเจลล้างมือไว้หลายจุด การอบโอโซน ฯลฯ ทำให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัย และเราก็สามารถดำเนินธุรกิจไปได้เรื่อย ๆ

 

Co-working Space ไม่ใช่แค่พื้นที่ที่ให้คนมาทำงานร่วมกันในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเท่านั้น แต่มันเป็นการที่คนสามารถทำงานร่วมกันในพื้นที่ไหนก็ได้

นิยามของ Co-working Space ของคนทั่วไปอาจยังไม่ชัด คิดว่าคือการที่คนมานั่งกระจุก ๆ กัน แต่จริง ๆ คือการที่คนสามารถมาทำงานร่วมกันได้ในพื้นที่ไหนก็ได้ ตรงกันข้าม พอเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คนก็มีความยืดหยุ่นมากขึ้น มีอาชีพเสริมมากขึ้น มี Market place มากขึ้น กลายเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น โอกาสที่ต้องใช้พื้นที่ประกอบการก็มีมากขึ้นตามลำดับ หน้าที่ของเราคือรองรับและช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ดำเนินกิจการได้อย่างดี มีกิจกรรมรองรับ มีมินิมาร์เก็ตให้พนักงานหรือลูกค้ามาขายของได้ ทำให้สังคมเรามีชีวิตมากขึ้น

 

ความร่วมมือและความยืดหยุ่นที่มากขึ้น แกนหลักและทิศทางในอนาคตของ Glowfish ที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้

Glowfish อาจต่อยอดมากขึ้น เพราะคนเริ่มตระหนักถึงพื้นที่ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และหาทางเลือกเสริม เช่น อาจมาเช่า Co-working Space เช่าห้องประชุมเผื่อไว้ ทำให้ได้ฐานลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยคิดว่าต้องการเรา และเราก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอเขา นอกจากนี้จะเกิดความร่วมมือมากขึ้น เพราะแก่นของ Glowfish คือความร่วมมือกันในการข้ามค่าย ข้ามอุตสาหกรรม ต้องพึ่งพากันทั้งร้านอาหาร ฟิตเนส ออฟฟิศ การจัดอีเวนต์ต่าง ๆ ก็ต้องดูแลเขามากขึ้น เพราะตระหนักว่าเราไม่สามารถอยู่คนเดียวได้

ทั้งนี้ ไม่ว่าสถานการณ์จะร้ายแรงขนาดไหน ยังไง “การปรับตัว” และ “ความยืดหยุ่น” ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในหัวใจหลักในการประคับประคองสิ่งต่าง ๆ ให้สามารถดำรงอยู่ไปได้ ดังเช่นตัวอย่างของ Glowfish ที่นอกจากจะดำเนินกิจการเดิมได้แล้ว ยังสามารถต่อยอดเปิดช่องทางธุรกิจอื่น ๆ เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย

 

ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ของ Glowfish ได้ที่ https://www.glowfishoffices.com/ และเพจ Glowfish Offices

Previous articleกรมทางหลวง รายงานสถานการณ์น้ำท่วมประจำวันที่ 3 ส.ค. 63 การจราจรผ่านไม่ได้ 5 แห่ง พร้อมแนะนำเส้นทางเลี่ยง
Next article3 ทริคง่าย ๆ จำได้ขึ้นใจ เตรียมข้อมูลให้พร้อมไว้…อุ่นใจเมื่อไฟดับ
Porntiwa
สาวรัฐศาสตร์หน้าใส หัวใจรักการเขียน ผู้ผันตัวจากสายการเมือง มุ่งหน้าสู่สถาปัตยกรรมเต็มตัว