ตามที่คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ(คนร.) ซึ่งมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานได้เห็นชอบให้ปรับปรุงยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) และเปลี่ยนแปลงเป็นยุทธศาสตร์ฯ 20 ปี (พ.ศ 2561-2580) เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ โดยเร่งรัดดำเนินการอย่างเร่งด่วน มุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีประสิทธิภาพ โดยต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชนภายใต้ New Normal และให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงนั้น
ดร.วิจักษ์ พงษ์เภตรา นายก(สรว.) กล่าวว่า ทางสมาคมฯมีความยินดีอย่างยิ่งที่เสียงเรียกร้องและข้อเสนอต่างๆจากสมาคมฯในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้รับการขานรับจากรัฐบาลแล้ว สะท้อนว่ารัฐบาลโดยเฉพาะ คนร. ได้รับรู้ถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการเหมืองแร่และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ลูกจ้างและภาคประชาชนในพื้นที่
นายกสมาคมสินแร่และวัสดุก่อสร้างกล่าวต่อไปว่า นับตั้งแต่เกิดการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) สมาคมฯได้เตือนแล้วว่าจะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง รัฐบาลต้องมีแผนรับมือระยะยาวในด้านเศรษฐกิจ ถึงวันนี้แม้ประเทศไทยจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี แต่รอบบ้านและทั่วโลกยังมีการแพร่ระบาดระลอก 2 รายงานล่าสุดมีการติดเชื้อสะสมทั้งโลก 9.7 ล้านคน เสียชีวิตรวมเกือบ 5 แสนคน สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลต่อการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวระหว่างประเทศ การจ้างงาน แม้รัฐบาลไทยจะคลายล็อคธุรกิจแต่ก็ยากจะฟื้นตัวในเวลาอันสั้น
“มองภาพเศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังน่าเป็นห่วงมาก องค์การการค้าโลกหรือ WTO แจ้งว่าปริมาณการค้าโลกไตรมาส 2 ของปีนี้หดตัวลงถึง 18.5% และอาจเลวร้ายยิ่งขึ้นอีกโดยคาดหมายตลอดทั้งปี 2563 จะหดตัวลง 13-32% ในขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ประเมิน GDP โลกปีนี้จะติดลบ 4.9% และเศรษฐกิจโลกจะเสียหายย่อยยับคิดเป็นมูลค่ารวมถึง 12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 370 ล้านล้านบาทในช่วง 2 ปี
สำหรับประเทศไทย ฝ่ายบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล เพิ่งกล่าวยอมรับว่าในครึ่งปีหลังยังจะมีบริษัทปิดกิจการลงอีก ภาคอุตสาหกรรมจะปิดโรงงานอีก ลูกจ้างยังจะถูกเลิกจ้างอีกจำนวนมากประมาณ 2 ล้านคน เพราะผลิตสินค้าแล้วส่งออกขายต่างประเทศไม่ได้ แรงงานจะไหลกลับถิ่นอีกจำนวนมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจออกมาล่าสุดว่า GDP ปี 2563 จะติดลบ 8.1% ซึ่งสาหัสกว่าสถานการณ์ต้มยำกุ้งปี 2540 ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางสำนักบอกว่าอาจจะติดลบถึง 10%” ดร.วิจักษ์กล่าว
นายกสมาคมสินแร่และวัสดุก่อสร้างให้ความเห็นว่า การกอบกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจยุคนี้ต่างจากปี 2540 มาก เพราะปี 2540 เป็นปัญหาสถาบันการเงินและปัญหาสินเชื่อ แต่ยุคนี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขทุกด้านทุกระดับทั้งระบบเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีผลให้คนตกงานถึง 8.4 ล้านคน แต่งบ 4 แสนล้านบาทที่รัฐบาลบอกว่าจะใช้อัดฉีดเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจยังมีขั้นตอนมากมายและอาจจะไม่ทันความต้องการของประชาชนที่จะเดือดร้อนมากขึ้น รัฐบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนภาคเอกชน หาทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคเพื่อเปิดทุกช่องทางที่จะส่งผลต่อการประกอบธุรกิจเพื่อเร่งให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก เมื่อประชาชนมีงานทำมีรายได้ มีกินมีใช้ สถานการณ์ก็จะค่อยๆคลี่คลายดีขึ้นได้
สำหรับข้อเสนอจากผู้ประกอบการเหมืองแร่และวัสดุก่อสร้างมายังสมาคมฯนั้น ยังคงเน้นย้ำให้ภาครัฐเร่งพิจารณาทบทวนตีความกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อันเนื่องมาจากคำสั่ง คสช.ที่ 31/2560 ซึ่งทางสมาคมฯได้นำเสนอปัญหาและทางออกไปยังสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว
“เรื่องนี้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ได้รับทราบปัญหาเป็นอย่างดีและท่านก็เข้าใจปัญหาที่ผู้ประกอบการประสบอยู่ เชื่อว่าท่านจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้เพื่อให้ผู้ประกอบการสินแร่และวัสดุก่อสร้างได้มีส่วนร่วมในการกอบกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจชาติจากภาวะวิกฤติในปัจจุบัน” ดร.วิจักษ์กล่าวในที่สุด