ถ้าพูดถึงวัสดุก่อสร้างโดยตรง “หนังสัตว์” อาจจะไม่ได้นับรวมอยู่ในนั้น แต่ถ้าพูดถึงการตกแต่งหรือข้าวของเครื่องใช้ รวมทั้งไอเทมเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลาย เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า “หนัง” เป็นวัสดุที่มีอิทธิพลสำหรับสร้างความโดดเด่นจนไม่อาจมองข้ามได้
ทุกวันนี้เราคงรู้กันดีว่าความนิยมของหนังสัตว์ไม่ได้มากเท่าเมื่อก่อน หรือแตกออกเป็น 2 เสียง เพราะคนส่วนใหญ่เริ่มหันมาใส่ใจประเด็นการทำร้าย ทารุณสัตว์มากขึ้น มีองค์กรพิทักษ์สัตว์เกิดขึ้นมากมาย ทำให้บางคนเลือกทานเนื้อสัตว์น้อยลง บางคนก็เลิกสนับสนุนข้าวของที่ผลิตจากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นและประท้วงเพื่อแสดงจุดยืน ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้มีผู้คนเริ่มหาวัสดุทดแทนเข้ามาใช้
แต่นอกจากเรื่องสัตว์แล้ว เรื่องสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คนไม่อยากใช้ “หนังสัตว์”
- รู้หรือไม่ว่า “หนังสัตว์” ส่วนใหญ่ที่นำมาใช้งานในโลกมาจาก “วัว”
- รู้หรือไม่ว่า “วัว” ที่เป็นแหล่งอาหารและต้นกำเนิดวัสดุอย่างหนังสัตว์ดื่มน้ำมากถึง 1,800 แกลลอนต่อปี และเมื่อเราได้หนังสัตว์มาเรายังต้องใช้น้ำและเคมีภัณฑ์จำนวนมากในกระบวนการผลิต
- ขยะที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตจากอุตสาหกรรมแฟชั่น ไม่สามารถย่อยสลายได้และทำลายธรรมชาตินั้นมีจำนวนมากนับแสนล้านตัน
แต่อะไรจะมาแทนที่หนังสัตว์ได้และได้รับการยอมรับจากกระแสสังคมที่เปราะบาง? นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ก่อตั้งฟาร์ม Desserto ทั้ง 2 คนซึ่งเคยทำงานในอุตสาหกรรมแฟชั่นและอยู่ในวงการเครื่องหนังได้ร่วมมือกัน ลาออกจากงานที่ทำแล้วหันมาคิดค้นวัสดุทดแทนอย่าง “หนังวีแกน” หรือ “หนังจากต้นกระบองเพชร” ขึ้น โดยใช้เวลาไปกับโปรเจ็กต์นี้ถึง 2 ปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์
ขั้นตอนการทำหนังจากต้นกระบองเพชร เริ่มจากตัดใบที่โตเต็มที่ของต้นกระบองเพชรที่ใช้ระยะเวลาเติบโตราว 6-8 เดือน ที่มีใบหนาใหญ่ นำมาตากแห้งเป็นเวลา 3 วันเพื่อรีดความชื้นในใบออกอย่างพอเหมาะ แล้วจึงนำใบเข้าไปเป็นส่วนผสมเพื่อผลิตเป็นหนัง ส่วนวัสดุที่เหลือจากกระบวนการผลิตจำพวกใบกระบองเพชรก็ไม่จำเป็นต้องโยนทิ้ง สามารถส่งออกไปขายในอุตสาหกรรมด้านอาหารได้
แล้วพืชชนิดอื่นล่ะทำได้ไหม? แม้แต่ต้นทางข้อมูลก็ไม่ได้ระบุหรือชี้แจงว่าทำได้ไหม แต่คุณสมบัติที่ทำให้ต้องเป็นกระบองเพชรเท่านั้น ส่วนหนึ่งเปิดเผยว่ามาจากผลลัพธ์ที่ได้และข้อดีของปัจจัยการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรโลก ดังต่อไปนี้
- เม็กซิโกอุดมด้วยต้นกระบองเพชร ไปไหนก็เจอแต่พืชชนิดนี้เต็มไปหมด ขณะเดียวกันการปลูกก็ไม่ต้องใช้น้ำในระบบชลประทาน ซึ่งเป็นระบบการทำเกษตรกรรมตามปกติเพราะเติบโตในสภาพแห้งแล้ง แปลว่าต่อให้ปลูกเยอะมากก็ไม่ได้กระทบกระเทือนเรื่องการใช้น้ำแต่อย่างใด
- กระบองเพชรลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ แปลว่าถ้าทำอุตสาหกรรมนี้ขึ้น โลกจะมีอากาศบริสุทธิ์เพิ่มมากขึ้น
- กระบวนการผลิตไม่ได้ฆ่าต้นไม้ทิ้ง แค่ตัดเล็มใบเหมือนตัดผมที่ยาวออกเท่านั้น จากนั้นต้นจะแตกใบใหม่ เราจึงไม่จำเป็นต้องทำลายต้นไม้เพื่อตอบสนองความต้องการของเรา
- ใช้น้ำน้อยและไม่ใช้เคมีภัณฑ์ที่ทำลายสิ่งแวดล้อม สิ่งที่เหลือก็สามารถนำไปใช้งานต่อในอุตสาหกรรมอื่นได้ จึงเป็นการผลิตที่คิดตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และธรรมชาติในระยะยาว
- หนังจากกระบองเพชรที่ได้เป็นหนังที่สวยงาม มีความยืดหยุ่น คงทน อยู่ได้เป็น 10 ปี เช็ดรอยเปื้อนออกได้และยังระบายอากาศได้ดี ป้องกันเรื่องกลิ่นอับ ขณะเดียวกันยังสามารถนำไปย้อมสีและสร้างลวดลายหนังที่ต้องการได้ด้วย
- ส่วนราคาขาย เขาระบุว่าราคาเป็นมิตร ถึงจะซับซ้อนด้านการผลิตแต่ก็ตั้งราคาขายพอ ๆ กับหนังสัตว์ปกติ
ไม่เพียงเท่านั้น ตอนนี้หนังจากกระบองเพชรชิ้นนี้ยังส่งเข้าประกวดรางวัลนวัตกรรม LVMH ปี 2020 ซึ่งกลุ่ม LVMH เป็นกลุ่มบริษัทสินค้า Luxury ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ต้องการเน้นไปโฟกัสเรื่องนวัตกรรมเพื่อแบรนด์หรูโดยเฉพาะ ทั้งนี้ LVMH มีแบรนด์หรูในเครืออย่างเช่น Louis Vuitton, Céline, Dior, Fendi, Kenzo, Marc Jacobs และอื่น ๆ
ความสำเร็จของการคว้ารางวัลนวัตกรรมในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นความหลากหลายของวัสดุในวงการ Luxury ที่กำลังจะเปลี่ยนรูปโฉมไป คุณค่าที่เคยเกิดจากวัสดุเดิมจะเปลี่ยนผ่านไปสู่วัสดุใหม่ ๆ ที่ผู้คนในสังคมยอมรับมากขึ้น Louis Vuitton, Céline, Dior, Fendi, Kenzo หรือ Marc Jacobs อาจจะได้นำหนังจากต้นกระบองเพชรเหล่านี้ไปใช้ผลิต สินค้าแฟชั่นของโลกน่าจะปรับเปลี่ยนวัสดุยกใหญ่ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่นักอนุรักษ์ส่วนใหญ่กำลังโจมตี หรือต่อไปเราอาจจะไม่ได้เห็นหนังสัตว์ในอุตสาหกรรมแฟชั่นอีกเลยก็ได้
แล้วพวกเราล่ะ อยากจะลองนั่งโซฟาหนังวีแกนเหล่านี้บ้างไหม ? หรือรู้สึกยังไง ถ้าหนังไม่ได้มาจากสัตว์แต่มาจากพืชแทน ?
อ้างอิงข้อมูลจาก