ดีพร็อพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาฯ ของไทย เผยผลการสำรวจ Consumer Sentiment Study H2 2020 ของแต่ละประเทศในภูมิภาคอาเซียน ชี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไหวแต่ค่อยเป็นค่อยไป โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัยเองยังไม่พับแผนซื้อ แต่เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ เนื่องจากความผันผวนสูงของตลาดจากการระบาดของโควิด-19 สมาร์ทโฮมที่มีพื้นที่ใช้สอยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลายเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณา ผู้บริโภคในอาเซียนยังเห็นโอกาสในการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง ขณะที่ความไม่แน่นอนด้านราคายังเป็นตัวหน่วงเวลาในการซื้อบ้าน

คุณกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า “แม้ภาคธุรกิจและสังคมของหลายประเทศจะเริ่มกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติ แต่อย่าลืมว่าเรายังคงอยู่กันภายใต้บททดสอบที่ไม่สามารถวัดผลได้ และเราอาจจะได้เห็นคลื่นการหยุดชะงักอีกครั้งหากมีการระบาดรอบใหม่ รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงต้องอาศัยเวลาในการฟื้นตัว หลังจากสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ของธนาคาร ซึ่งจะเข้าสู่สนามทดสอบของจริง เพราะตัวเลขคนว่างงานที่ยังสูงขึ้นต่อเนื่องจะส่งผลต่อสถานะทางการเงินที่เปราะบางของประชากรในแต่ละประเทศด้วย ดังนั้นการสร้างความต่อเนื่องในการฟื้นตัวและเสถียรภาพให้กับธุรกิจถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากที่ผู้ประกอบการทุกอุตสาหกรรมต้องนำมาพิจารณา แม้จะต้องเผชิญภาวะขาดสภาพคล่องแต่ต้องมั่นใจว่าจะสามารถประคองธุรกิจไปต่อด้วยกลยุทธ์ที่รอบคอบ”

แม้ตลาดอสังหาฯ ทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนจะยังคงมีความผันผวน แต่ผู้บริโภคยังคงมีความต้องการที่จะซื้อที่อยู่อาศัย จากผลการสำรวจ Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของแต่ละประเทศในภูมิภาคอาเซียน ชี้ให้เห็นสัญญาณบวกของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มจะโตแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากยังเห็นผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัยเองยังไม่พับแผนซื้อ แต่ใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการตัดสินใจ เนื่องจากความผันผวนสูงของตลาดจากการระบาดของโควิด-19

  • ผลสำรวจในตลาดอสังหาฯ ที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค พบว่า ชาวสิงคโปร์มากกว่าครึ่ง (55%) มองว่าความไม่แน่นอนของราคาอสังหาฯ มีผลต่อการตัดสินใจซื้อบ้าน โดยผู้บริโภคหวังจะเห็นราคาบ้านที่ถูกลง ขณะที่ผู้ประกอบชะลอการขายอสังหาฯ เพื่อรอรับผลตอบแทนที่ดีกว่าในภายหลัง การสำรวจถึงพฤติกรรมผู้บริโภคยังพบว่า 42% ค่อนข้างให้ความสนใจในเรื่องราคาเป็นพิเศษ และ 82% ของผู้ทำแบบสำรวจสนใจบ้าน/คอนโดฯ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกน้อยลงถ้าหากได้ราคาดี อย่างไรก็ดี ภายในปีหน้า ผู้บริโภค 40% ตั้งใจซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภคที่ปัจจุบันเป็นผู้เช่า (60%) และผู้ที่ยังอยู่อาศัยกับพ่อแม่ (76%)

  • ด้านชาวอินโดนีเซียประมาณ 60% ตัดสินใจชะลอการซื้อขายอสังหาฯ ออกไปชั่วคราว เนื่องจากต้องการเก็บเงินไว้ก่อนในช่วงนี้ และจะกลับมาซื้ออสังหาฯ ต่ออย่างแน่นอนในช่วง 2 ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ไปจนถึงปีหน้า อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามากกว่า 3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถามจะพิจารณาความสามารถในการผ่อนชำระของตัวเองเป็นอย่างดี แต่รายได้ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการซื้ออสังหาฯ โดยพบว่า 51% มีเงินดาวน์ไม่เพียงพอ ขณะที่ 46% มีความกังวลเรื่องรายได้ที่ไม่แน่นอน ซึ่งเป็นอุปสรรคในการขอสินเชื่อ

  • ขณะที่ผู้บริโภคชาวไทย 75% ชะลอการซื้อขายอสังหาฯ และ 79% มองว่าราคาอสังหาฯ เป็นอุปสรรคสำคัญในการซื้อบ้าน อย่างไรก็ตาม พบว่า ผู้บริโภคถึง 63% ให้ความสนใจและพิจารณาซื้อบ้านผ่านการประมูล เนื่องจากผู้ซื้อที่มีความพร้อมมองว่า อสังหาฯ มือสองที่เปิดให้ประมูลเหล่านี้มักอยู่ในทำเลที่หาโครงการใหม่เปิดตัวได้ยาก หรือหากมีก็จะมีราคาที่สูงมากจากราคาต้นทุนที่ดินในปัจจุบัน ทำให้โครงการเหล่านี้ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของทำเลและราคาที่เอื้อมถึงได้ง่ายมากกว่า และหากมองในอนาคตก็มีแนวโน้มเติบโตมากยิ่งขึ้นด้วย

จะเห็นได้ว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังพิจารณาที่จะซื้ออสังหาฯ อยู่ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่มีแนวโน้มที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 และปี 2564

จากผลสำรวจยังพบอีกว่า ข้อมูลราคา, ทำเลที่ตั้ง และความปลอดภัยในพื้นที่ เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในอาเซียนส่วนใหญ่นิยมค้นหามากที่สุด โดยส่วนใหญ่นิยมค้นหาผ่านอินเทอร์เน็ต อาทิ เว็บไซต์ของโครงการ, เว็บไซต์สื่อกลางซื้อ-ขายอสังหาฯ เพื่อเลือกชมโครงการบ้านที่หลากหลาย หรือบางกลุ่มนิยมใช้นายหน้า เนื่องจากประหยัดเวลาในการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ และนายหน้าบางรายอาจจะมีข้อเสนอพิเศษ

  • ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ตั้งใจที่จะซื้อเพื่อลงทุน จึงพิจารณาจากราคา, ทำเลที่ตั้ง, ประเภทของอสังหาฯ, ความปลอดภัยของทำเล และแผนการพัฒนาโครงการและสาธารณูปโภคในอนาคตของทำเลนั้น ๆ ทั้งนี้เองชาวอินโดนีเซียต้องการทราบข้อมูลด้านเอกสารทางกฎหมายและขั้นตอนการดำเนินการ รวมถึงรีวิวเกี่ยวกับนายหน้า/ผู้พัฒนาโครงการเมื่อจะตัดสินใจซื้อ-เช่ามากกว่าชาวไทย
  • ชาวไทยพิจารณาเรื่องราคา/ยูนิตมาอันดับแรก ถัดมา คือ ขนาดที่อยู่อาศัย, รูปแบบโครงสร้าง, ภาษีและมาตรการของภาครัฐที่ออกมาช่วย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบที่อยู่อาศัย และมองหาผลตอบแทนค่าเช่า/การทำกำไรในอนาคต

นอกจากนี้ยังพบข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับมุมมองและปัจจัยที่ผู้บริโภคใช้พิจารณาหากต้องการซื้อบ้าน หลังจากเผชิญการระบาดของโควิด-19 โดยพบว่า

  • ชาวมาเลเซียพิจารณาเรื่องการระบายอากาศและแสงธรรมชาติมาเป็นอันดับแรก ถัดมาเป็นเรื่องการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต มองหาบ้านที่เป็นได้ทั้งออฟฟิศและฟิตเนส และความหนาแน่นโครงการที่ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มวัยเกษียณที่ต้องการหลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด

ชาวสิงค์โปร์พิจารณาให้ความสำคัญกับทำเลที่อยู่ใกล้ร้านอาหารและห้างสรรพสินค้าเป็นพิเศษ รองลงมาคือในเรื่องของการระบายอากาศและแสงธรรมชาติ มีความต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น และสนใจระบบบ้านอัจฉริยะที่ตอบโจทย์เรื่องประหยัดพลังงานหากต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน ดังเช่นสถานการณ์ที่ผ่านมา

Previous articleพลิกแหล่งน้ำให้สดใส Zebra Glass วัสดุใหม่จากเปลือกหอยสู่ผลึกแก้วสีธารน้ำแข็ง
Next articleFPT จับมือ CPAC เปิดตัวโครงการ “AEI โรงงานและคลังสินค้าพร้อมสมาร์ทโซลูชั่นเพื่อความยั่งยืน” ยกระดับพื้นที่อุตสาหกรรมสู่ยุคใหม่
เจตน์สฤษฏิ์ อ้องแสนคำ
Content Writer ผู้คลั่งไคล้การเสพหนัง, แคมป์ปิ้ง และอ่านหนังสือ ที่ฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง จึงเข้าสู่วงการสถาปัตยกรรมเพื่อศึกษาและค้นหาแรงบันดาลใจ