หนึ่งในเมืองที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนั่นคือ มหานครนิวยอร์ก ที่โดดเด่นอย่างมากในการพัฒนาความเป็นอยู่และตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ ที่สำคัญนิวยอร์กยังมีชื่อเสียงเรื่องการพัฒนาตึกระฟ้าอยู่เสมอ เพราะนอกจากจะสร้างชื่อให้กับเมืองแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญในด้านเศรษฐกิจและการลงทุนอีกด้วย
การพัฒนาของตึกระฟ้าในนิวยอร์กได้ถูกเรียกว่า “Race for The Sky” ด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องและโครงสร้างอาคารที่โดดเด่นในแต่ละยุค ทำให้ตึกระฟ้าที่เกิดขึ้นนิวยอร์กเป็นที่จับตามองเสมอมา
วันนี้ BuilderNews จะพาคุณย้อนอดีตกลับไปดูจุดเริ่มต้นของตึกระฟ้าในยุคแรก ๆ ตั้งแต่กลางปี 1850 มาจนถึงปัจจุบัน ที่หลาย ๆ ตึกได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับอาคารอื่นในหลายประเทศ
Table of Contents
Latting Observatory (1853–1854)
หอดูดาว Latting ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดแสดงโชว์ในงาน World’s Fair ปี 1853 วัสดุหลักที่ใช้ก่อสร้างคือไม้เป็นส่วนใหญ่ ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อว่า William Naugle ความสูงโดยรวมประมาณ 96 เมตร พื้นที่ด้านล่างแบ่งเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และลานจอดรถสำหรับเจ้าหน้าที่และผู้เยี่ยมชม แต่หอดูดาวนี้ก็มีอายุที่สั้นเหลือเกิน เมื่อ 3 ปีต่อมา เกิดเพลงไหม้ในปี 1856 ทำให้มันพังลงในที่สุด Latting Observatory ยังเป็นแรงบันดาลใจในการก่อสร้างหอไอเฟล ที่ประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย
Trinity Church (1854–1890)
โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1846 และเป็นตึกที่สูงที่สุดในยุคนั้น ซึ่งมีความสูงประมาณ 85 เมตร โดยสถาปนิกชื่อว่า Richard Upjohn สร้างในรูปแบบของสถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิค ต่อมาหอดูดาว Latting ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่องาน World’s Fair ได้คว้าตำแหน่งนั้นไปครอง แต่ก็ต้องคืนตำแหน่งให้เนื่องจากเหตุไฟไหม้ โบสถ์ทรินิตี้ยังเป็นโบสถ์ที่สูงที่สุดในสหรัฐฯ นับตั้งแต่ถูกสร้าง จนกระทั่งปี 1869 ถูกโค่นลงโดยโบสถ์เซนต์ไมเคิลในชิคาโก และโบสถ์ทรินิตี้ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันที่ตอนใต้ของแมนฮัตตัน
New York World Building (1890–1894)
ตึกนี้เป็นการสร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมเรอแนซ็องส์ โดยนักออกแบบชาวอเมริกัน George B. Post สร้างเสร็จในปี 1890 และคว้าตำแหน่งตึกสูงสุดในเมืองไปครองด้วยความสูง 94 เมตร ตึกนี้มีความโดดเด่นตรงการนำหิน ทราย ดินเผา และอิฐ มาใช้ในการทำฟาซาด และยอดโดมสูง 6 ชั้น ทว่าในปี 1955 ตึกแห่งนี้ได้ถูกพังลงเพื่อเป็นพื้นที่ต่อขยายไปสู่สะพานบรู๊คลิน
Manhattan Life Insurance Building (1894–1899)
อาคารประกันชีวิตที่เคยโด่งดังช่วงต้นยุค 90 แห่งนี้ ออกแบบโดย Kimball & Thompson ตั้งอยู่บริเวณถนน Broadway ใกล้กับย่านการเงินชื่อดังอย่าง Wall Street สร้างขึ้นเพื่อเป็นสำนักงานบริษัทประกันชีวิตชื่อดัง ก่อสร้างขึ้นในปี 1893 แล้วเสร็จในปี 1894 และด้วยความสูงถึง 106 เมตร ทำให้กลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในเมือง จนถูกรื้อถอนในปี 1960 ปัจจุบันพื้นที่แห่งนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของย่าน Wall Street ไปแล้ว
Park Row Building (1899–1908)
Park Row Building ได้รับออกแบบโดย R. H. Robertson ผู้บุกเบิกการสร้างตึกระฟ้าในยุคนั้น โดย Park Row Building เป็นอาคารของสำนักงานที่เกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์ มีผู้คนเข้า-ออกอาคารมากกว่า 25,000 คนต่อวัน โดยความสูงของตึกจะอยู่ที่ 119 เมตร มีทั้งหมด 27 ชั้น ต่อมาในช่วงต้นปี 2000 ได้รีโนเวทจากอาคารสำนักงานเป็นที่อยู่อาศัย และได้รับการบำรุงรักษาจนถึงปัจจุบัน งบประมาณการก่อสร้างอยู่ระหว่าง 2.4 – 2.75 ล้านเหรียญสหรัฐ
Singer Building (1908–1909)
ตึกสำนักงานใหญ่ของ Singer Manufacturing Company แบรนด์จักรเย็บผ้าชื่อดัง ได้รับการออกแบบและพัฒนาอยู่หลายปีโดย Ernest Flagg ผู้ชื่นชอบผลงานสไตล์โบซาร์อาร์ต และตึก Singer แห่งนี้ ก็ได้สร้างชื่อให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยบริเวณฐานล่างจะเป็นพื้นที่สำนักงานของ Singer ถึงชั้นที่ 14 ส่วนหอคอยด้านบนเป็นจุดชมวิวชั้นที่ 40 สำหรับคนทั่วไป โดยคิดค่าเข้าเพียง 50 เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งมีความสูงอยู่ที่ 187 เมตร ก่อนที่จะถูกรื้อถอนในปี 1968 เพื่อก่อสร้างตึก One Liberty Plaza
Metropolitan Life Insurance Company Tower (1909–1913)
หรือที่รู้จักกันในชื่อของ Met Life Tower ออกแบบโดย Napoleon LeBrun และลูกชายของเขา สร้างขึ้นระหว่างปี 1905 ถึง 1909 ได้แรงบันดาลใจมาจาก หอระฆังซันมาร์โก (St. Mark’s Campanile) เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี บริเวณด้านบนของหอคอยทั้ง 4 ด้าน ติดตั้งนาฬิกาบอกเวลา, ระฆังบอกเวลา รวมถึงประดับไฟที่ด้านบนของหอคอย ตึก Met Life มีความสูง 213 เมตร ได้รับการขนานนามว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1909 – 1913
ในปี 2015 บริเวณฐานล่างตึกได้ถูกรีโนเวทใหม่ทำเป็นโรงแรมหรูขนาด 273 ห้อง ชื่อว่า “New York Edition Hotel” และเมื่อปี 2020 KPF ได้ประกาศต่อเติมอาคารส่วนฐานอีก 27 ชั้น เพื่อเป็นตึกสำนักงานดีไซน์หรูหรา
Woolworth Building (1913–1930)
ได้รับการออกแบบโดย Cass Gilbert เป็นระยะเวลากว่า 17 ปี ที่ตึก Woolworth ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกด้วยความสูงถึง 241 เมตร โดยก่อนหน้านี้ตึกมีความสูงเพียง 128 เมตร แต่ด้วยวิสัยทัศน์อันก้าวไกลของ Frank W. Woolworth จึงได้ถาม Gilbert สถาปนิกผู้ดูแลว่า “คุณสามารถสร้างตึกนี้ให้สูงได้มากเพียงไหน?” ซึ่งตึกแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งใน 100 ตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย งบประมาณการก่อสร้างของตึกนี้สูงถึง 13.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบกับค่าเงินในปี 2019 จะอยู่ที่ 349 ล้านเหรียญสหรัฐ) และยังเป็นตึกที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติในปี 1966 อีกด้วย
Bank of Manhattan Trust Building (1930)
ธนาคารแห่งแมนฮัตตัน ทรัสต์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “40 วอลล์สตรีท” ตึกระฟ้าสไตล์นีโอ-โกธิค สร้างเสร็จในปี 1930 สูง 283 เมตร ได้รับการออกแบบโดย H. Craig Severance ร่วมกับ Yasuo Matsui และ Shreve & Lamb ตึกนี้ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 1 ปีเท่านั้น นับเป็นเวลาที่ค่อนข้างเร็วพอสมควร และมีความสูงมากกว่า ตึก Woolworth ถึง 42 เมตร ทำให้แซงหน้าขึ้นเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก แต่ก็ครองแชมป์ได้ไม่ถึง 2 เดือน ก็ถูกตึก Chrysler แซงขึ้นหน้าไป เอกลักษณ์เด่นคือตัวอาคารมีสีคล้ายอิฐสีน้ำตาลเข้ม ตัดกับยอดแหลมสีฟ้าครามที่ประดับอยู่ด้านบน
Chrysler Building (1930–1931)
หนึ่งในตึกไอโคนิคที่สุดแห่งหนึ่ง ตั้งแต่สร้างเสร็จจนถึงปัจจุบัน และเป็นตึกที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในมหานครนิวยอร์ก ด้วยการตกแต่งตามสไตล์อาร์ตเดคโค ด้วยความสูง 319 เมตร มีจำนวนชั้น 77 ชั้น ออกแบบโดย William Van Alen จุดเด่นของตึกแห่งนี้คือยอดแหลมที่สวยงามทั้งเวลากลางวันและกลางคืน โดดเด่นเห็นได้จากระยะไกล และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่ต้องมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก บริเวณล็อบบี้ทางเข้าของตึกแห่งนี้
รู้หรือไหม? ตึก Chrysler ได้เป็นโลเคชันในหนังมาแล้วหลายเรื่อง เช่น Godzilla (1998), Deep Impact (1998), Armageddon (1998), Knowing (2009), Men In Black 3 (2012) เป็นต้น
Empire State Building (1931–1971 / 2001–2012)
หนึ่งในตึกสูงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สร้างขึ้นในช่วงปี 1930 แล้วเสร็จในปี 1931 สร้างโดย William Frederick Lamb แห่ง Shreve, Lamb & Harmon นับความสูงจากพื้นถึงหลังคา 380 เมตร และจนถึงยอดบนสุด 443 เมตร ตกแต่งในสไตล์อาร์ตเดคโค ตัวอาคารสร้างจากคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี Empire State ครองแชมป์ตึกที่สูงที่สุดในโลกยาวนานกว่า 40 ปี จนกระทั่งการสร้างขึ้นของตึกแฝดชื่อก้องโลกอย่าง World Trade Center จะมาคว้าตำแหน่งนี้ไปในปี 1971
รู้หรือไม่?
- ตึก Empire State ในยุคนั้นได้กลายเป็นตึกที่บ่งบอกถึงความเป็นนิวยอร์กได้มากสุด ๆ นอกจากจะใช้เป็นโลเคชั่นถ่ายทำภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องแล้ว “Jay-Z และ Alicia Keys” ยังได้นำชื่อตึกไปใส่เป็นชื่อเพลงที่บอกเล่าเกี่ยวกับมหานครนิวยอร์ก
- 1 พฤษภาคม 1947 “เอเวอลีน แมคเฮล” ได้ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยการกระโดดจากยอดตึก Empire State ก่อนที่ตากล้องแห่งนิตยสาร Life จะบันทึกภาพเอาไว้ และได้รับการยกย่องให้เป็นภาพถ่ายการฆ่าตัวตายที่งดงามที่สุดในโลก
World Trade Center (1971–2001)
หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันว่า “ตึกแฝด” ที่มาพร้อมความสูง 431 เมตร และ 530 เมตร ออกแบบโดย Minoru Yamasaki ก่อสร้างเสร็จในปี 1970 และ 1971 ตามลำดับ รวมถึงตึกในเครืออีก 5 แห่ง รวมเป็น 7 แห่ง ด้วยงบประมาณกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.27 พันล้านเหรียญสหรัฐ ค่าเงินในปี 2021) ตัวตึกมีพื้นที่มากถึง 1.24 ล้านตารางเมตร ทำให้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางธุรกิจย่านหนึ่งที่คึกคักอย่างมาในมหานครนิวยอร์ก และตึกแห่งนี้ขึ้นแท่นตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลกทันทีที่สร้างเสร็จ
แต่เหตุการณ์ที่แสนเลวร้ายก็ได้เกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 11 กันยายน 2001 เมื่อเครื่องบิน American Airlines ถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายจี้และบังคับให้พุ่งชนตึกแฝดในเวลาไล่เลี่ยกัน จนเกิดเหตุวินาศกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง และตึกแฝดก็ได้ถล่มลงมา ปิดตำนานตึกที่สูงที่สุดในโลก และวินาศกรรม “9/11” มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน
รู้หรือไม่? มีการประเมินว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายใช้เงินก่อเหตุ 9/11 เพียงราว ๆ 500,000 เหรียญสหรัฐ แต่สร้างความเสียหายให้กับสหรัฐฯ มากถึง 3.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
One World Trade Center (2012–ปัจจุบัน)
หลังเหตุการณ์ 9/11 ได้เกือบ 5 ปี พื้นที่เก่าของตึกแฝดที่พังทลายลง ก็ได้ถูกก่อสร้างขึ้น ใช้เวลาการก่อสร้างร่วม 8 ปี ก็ได้เปิดใช้งาน One World Trade Center และคว้าตำแหน่งตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา, สูงที่สุดในซีกโลกตะวันตก และสูงอันดับ 6 ของโลก ด้วยความสูง 546 เมตร ได้รับการออกแบบโดย David Childs ใช้งบประมาณการก่อสร้าง 3,900 ล้านเหรียญสหรัฐ
ภายนอกอาคารติดตั้งกระจกวาววับงดงามเมื่อสะท้อนกับพระอาทิตย์ มีจุดชมวิวที่มองเห็นมหานครนิวยอร์กได้แบบ 360 องศา พื้นที่ด้านล่างเป็นพลาซ่าที่มีการปลูกต้นไม้มากมาย และยังเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์ 9/11
รู้หรือไม่? ที่บริเวณชั้นใต้ดิน เป็นสถานที่ของพิพิธภัณฑ์เหตุการณ์ 9/11 บอกเล่าถึงวินาศกรรมอันแสนโหดร้าย สำหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไป
Source
https://archive.nytimes.com/www.nytimes.com/interactive/2011/09/08/us/sept-11-reckoning/cost-graphic.html?_r=1
https://www.designboom.com/architecture/timeline-new-york-tallest-buildings-wooden-observatory-one-wtc-06-08-2021/