หากจะจินตนาการถึงการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ต ในช่วงเวลาเมื่อ 20 ปีก่อน ดูเป็นอะไรที่ไร้สาระพอสมควร แต่เมื่อมามองในปัจจุบัน ตลาดอสังหา เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ใครหลายคนจะคาดคิด และในอีก 20 ปีข้างหน้า เราจะอยู่ในสังคมที่แตกต่างจากเดิม สังคมที่เทคโนโลยีจะเป็นตัวกำหนดชีวิตเรา รวมไปถึงทัศนคติของเราที่มีต่ออสังหาริมทรัพย์และระบบโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ
สิ่งที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้คือ 8 นวัตกรรมสำคัญที่จะเปลี่ยนทิศทาง ตลาดอสังหา ในปี 2035
- มหานคร และการเดินทางที่รวดเร็ว
- ที่จอดรถและปั๊มน้ำมันซึ่งมีจำนวนน้อยลง
- อาคารใต้ดิน
- นาโนเทคโนโลยี และอาคารราคาถูก
- เครื่องพิมพ์สามมิติในอุตสาหกรรมก่อสร้าง
- การเปลี่ยนทิศทางของการช็อปปิ้ง
- การซื้อขายบ้านออนไลน์
- หุ่นยนต์ ตัวช่วยสำคัญในบ้าน
1. รถไฟความเร็วด่วนพิเศษ จะเชื่อมต่อเมืองหลาย ๆ เมืองเข้าไว้ด้วยกัน จนกลายเป็นมหานคร
ในอนาคต จะมีการสร้างรถไฟความเร็วด่วนพิเศษ ซึ่งออกแบบมาให้เหมือนกับรถไฟความเร็วสูงใน Hyperloop Project โดยมีความเร็วสูงกว่ารถไฟรูปแบบต่าง ๆ ในปัจจุบัน 3-4 เท่า ส่งผลให้การเดินทางจากลอสแองเจลิสไปยังซานฟรานซิสโก ระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น
รถไฟชนิดนี้จะช่วยร่นระยะเวลาการเดินทาง และทำให้หลายเมืองเชื่อมต่อกันได้อย่างง่ายดาย ราคาพื้นที่ในชานเมือง รวมถึงพื้นที่ระหว่างเมืองใหญ่ ๆ จะเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้จีนเริ่มพัฒนาโปรเจครถไฟความเร็วด่วนพิเศษขึ้นในบริเวณดังกล่าว ด้วยแผนที่จะรวมเอาเมืองทั้ง 9 เมือง ให้กลายเป็นเมืองใหญ่เมืองเดียว ในชื่อ “Jing-Jin-Ji” ด้วยจำนวนประชากรมากถึง 130 ล้านคน
2. รถไร้คนขับ หรือรถที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง จะช่วยประหยัดเวลาของผู้ขับขี่และประหยัดพื้นที่จอดรถในเมือง
ภายใน 20 ปีจากนี้ รถทุกคันจะสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง และการใช้มนุษย์ขับเคลื่อนรถยนต์จะกลายเป็นแค่อดีต Ray Kurzwell นักทำนายอนาคต กล่าวว่า ในปี 2024 มนุษย์จะถูกห้ามไม่ให้ขับขี่รถทุกชนิดที่ไม่ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อน และในปี 2033 รถยนต์ไร้คนขับจะกลายเป็นยานพาหนะชนิดเดียวที่เหลืออยู่บนท้องถนน
ขณะเดียวกัน แลนด์มาร์กของเมือง จะไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่กว้างหรือที่จอดรถจำนวนมากอีกต่อไป เพราะในอนาคตรถยนต์จะสามารถขับเข้าไปจอดในลานจอดรถซึ่งอยู่ห่างจากแลนด์มาร์กหรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่รถชนิดนี้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนได้โดยใช้กระแสไฟฟ้าและก๊าซไฮโดรเจน จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งปั๊มน้ำมันอีกต่อไป
3. มีการสร้างอาคารใต้ดินในอนาคต
เมื่อประชากรที่ย้ายเข้ามาอาศัยในเมืองมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ราคาที่ดินย่อมต้องเพิ่มสูงขึ้น และการพัฒนาที่ดินแต่ละส่วนก็ต้องใช้เงินจำนวนมากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ จึงมีโปรเจคอาคารหรือสิ่งก่อสร้างใต้ดินผุดขึ้นมากมาย อย่างโปรเจคสวนสาธารณะใต้ดินของบริษัท Lowline ในนิวยอร์ก ซึ่งจะเปิดให้ใช้กันในปี 2018 นี้ สร้างขึ้นบริเวณสถานีปลายทางของรถรางใต้ดินแห่งหนึ่ง โซนตะวันออกล่างในแมนฮัตตัน
ในอีก 2 ทศวรรษข้างหน้า การสร้างศูนย์การค้า โรงยิม สปา และไนต์คลับ ก็จะทำเช่นเดียวกันกับการสร้างเมืองใต้ดินในมอนทรีออล ประเทศแคนาดา ที่สร้างให้มีทางเชื่อมกับช็อปปิ้งมอลล์ อพาร์ทเมนท์ โรงแรม ธนาคาร ฯลฯ นอกจากนี้ เทคโนโลยียังก้าวหน้าไปไกลจนสามารถออกแบบให้แสงแดดจากภายนอกส่องเข้ามาถึงภายในอาคารใต้ดินได้อีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นการช่วยให้ต้นไม้ที่ปลูกอยู่ภายในเจริญเติบโตได้ดีในอีกทางหนึ่ง
4. นาโนเทคโนโลยี จะช่วยให้สิ่งก่อสร้างราคาถูกลง
นาโนเทคโนโลยีสามารถปฏิวัติในสิ่งที่มนุษย์ก็ทำได้เช่นกัน คือช่วยในการผลิตวัสดุก่อสร้างคุณภาพสูง เช่น คอนกรีตที่มีความแข็งแรงทนทาน วัสดุที่สามารถกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ได้ เป็นต้น ตามคำทำนายของ Ray Kurzweil นาโนเทคโนโลยีเหล่านี้จะคืบคลานเข้ามาในปี 2030 และเมื่อมันเข้ามามีบทบาทอย่างเต็มที่ จะส่งผลให้ราคาของวัสดุที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างรวมทั้งต้นทุนในการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างลดลงอย่างมาก
5. เครื่องพิมพ์สามมิติจะช่วยให้การสร้างบ้านเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ในปี 2014 ‘WinSun’ บริษัทในเซี่ยงไฮ้ สร้างบ้านถึง 10 หลังได้ด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ โดยใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งวัน และด้วยความที่วัสดุในการสร้างบ้านมีราคาถูก (ใช้ส่วนผสมระหว่างคอนกรีตและวัสดุรีไซเคิล) บวกกับการที่ไม่ต้องใช้แรงงานคนในการสร้างบ้าน จึงทำให้บ้านแต่ละหลังมีราคาเพียงแค่ 5,000 ดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น
แม้ว่าเครื่องพิมพ์สามมิติในปัจจุบันจะยังหาได้ยาก แต่ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้ามันจะแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว Ma Yi He ซีอีโอบริษัท WinSun เชื่อว่า โปรเจคใหญ่ ๆ หลายโปรเจคจะสำเร็จได้ด้วยการใช้เครื่องพิมพ์สามมิติ อย่างการสร้างอาคารสูง ซึ่งอาจส่งผลให้การสร้างอาคารในอนาคตประหยัดงบประมาณไปได้สูง
6. เครื่องพิมพ์สามมิติจะเปลี่ยนคอนเซ็ปต์การซื้อขายสินค้า
เครื่องพิมพ์สามมิติไม่ได้สร้างได้แค่เพียงสิ่งก่อสร้างหรืออาคารบ้านเรือนเท่านั้น แต่ยังใช้ในการผลิตเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ และข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน ซึ่งจะเปลี่ยนคอนเซ็ปต์การซื้อขายสินค้าให้ไปในอีกทิศทางหนึ่งด้วยเช่นกัน บรรดานักช็อปจะเลือกซื้อสินค้าออนไลน์แทนการเดินเลือกซื้อสินค้าตามช็อปต่าง ๆ ผู้ค้าจะผลิตสินค้าจากเครื่องพิมพ์สามมิติและส่งให้ลูกค้าถึงบ้าน ซึ่งจะทำให้การซื้อขายสินค้าเติบโตในโลกออนไลน์อย่างมาก แม้ว่าปัจจุบันจะมีสินค้าที่ผลิตจากเครื่องพิมพ์สามมิติแล้วก็ตาม แต่เทคโนโลยีนี้จะแพร่หลายในอนาคตหรือก็คือปี 2025 นั่นเอง
7. ผู้ซื้ออสังหาฯ ใช้เทคนิคภาพเสมือนจริง (virtual reality) ในการชมบ้านก่อนการตัดสินใจซื้อ
การจำลองภาพเสมือนจริงด้วยเทคนิคทางคอมพิวเตอร์จะช่วยทำลายกำแพงในเรื่องระยะห่างระหว่างผู้ซื้อและอสังหาริมทรัพย์ Business Insider บริษัทยักษ์ใหญ่หลากธุรกิจ กล่าวว่า ธุรกิจ VR headset หรืออุปกรณ์แสดงภาพเหมือนจริงในรูปแบบ headset จะเติบโตขึ้นถึง 99% ในทุกปี จากที่ทำรายได้ไว้ 37 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในปี 2015 ในปี 2020 รายได้จะมากถึง 2.8 พันล้านดอลล่าร์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อในแง่ที่ไม่ต้องเสียเวลาออกจากบ้านเพื่อมาชมอสังหาฯที่ต้องการซื้อ แต่สามารถดูภาพเสมือนจริงผ่าน headset นี้ได้
8. หุ่นยนต์และอุปกรณ์ไอที จะช่วยให้การดูแลบ้านของคุณง่ายขึ้น
ในอนาคตอันใกล้นี้ หุ่นยนต์จะกลายเป็นเหมือนเพื่อนใหม่ของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ทุก ๆ บ้าน จะมีหุ่นยนต์ 1 ตัวคอยช่วยดูแล ทำความสะอาดบ้าน และยังช่วยให้มนุษย์ประหยัดเวลาในการซ่อมแซมอุปกรณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้าน ไม่ต้องอาศัยหน่วยงานภายนอกในการดูแลงานบ้านเหล่านี้
บริษัทฝรั่งเศส ‘Blue Frog Robotics’ มีแผนนำเอา Buddy หุ่นยนต์ที่คิดค้นขึ้นเองลงตลาดเร็ว ๆ นี้ Buddy เป็นหุ่นยนต์ที่สามารถโต้ตอบกับมนุษย์ได้ โดย Ray Kurzweil กล่าวว่า หุ่นยนต์แบบใหม่อย่าง Buddy นี้จะกลายเป็นหุ่นยนต์ที่มีอยู่ในทุก ๆ บ้าน เปรียบเสมือนเครื่องครัวที่ทุกบ้านจะต้องมีอยู่อย่างแน่นอน
เทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เราและตลาดอสังหาฯ ภารกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องทำในทุก ๆ วัน จะสำเร็จได้ด้วยเทคโนโลยีอันก้าวหน้าในอนาคต การแลกเปลี่ยนข้อมูลจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการก่อสร้างก็จะใช้งบประมาณน้อยลงด้วยเช่นกัน
Source: globalpropertyguide