มัสยิดนับว่าเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาอิสลาม รวมถึงเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวมุสลิมมายาวนานกว่าพันปี ซึ่งมัสยิดจำนวนหลายแห่งทั่วโลกต่างก็ได้มีการออกแบบก่อสร้างที่แตกต่างกันออกไปตามวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่มัสยิดแห่งใหม่ Al warqa’a mosque ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กลับมีการออกแบบที่เรียบง่ายในแนวร่วมสมัย เน้นประโยชน์ด้านการใช้พื้นที่ให้เป็นแหล่งพบปะของชาวมุสลิม รวมถึงสร้างบรรยากาศที่แสนเงียบสงบเหมาะกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แสดงให้เห็นถึงจุดประสงค์ดั่งเดิมของการใช้งานมัสยิดได้อย่างแท้จริง
เนื่องจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในปัจจุบันได้มีการสร้างมัสยิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งมัสยิดเหล่านั้นมักมีการก่อสร้างและจัดเต็มไปกับการตกแต่งทุกมุมคล้ายกับมัสยิดของประเทศตุรกี ด้วยเหตุนี้ทางบริษัท IDBA จึงได้ออกแบบให้มัสยิด Al warqa’a mosque มีความร่วมสมัยในแบบเรียบง่าย ใช้การตกแต่งเชิงสัญลักษณ์ให้น้อยที่สุด แลดูสมกับเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาอันมีคุณค่าทางสังคม วัฒนธรรม และประวัตศาสตร์ของศาสนาอิสลามที่ยืนยงมาอย่างยาวนาน ซึ่งชาวมุสลิมนอกจากจะใช้มัสยิดเป็นแหล่งทำละหมาดหรือประกอบพิธีกรรมอันสำคัญแล้วยังเป็นสถานที่พบปะสร้างความสัมพันธ์กันระหว่างผู้คนอีกด้วย
มัสยิด Al warqa’a mosque มีการออกแบบโดยสะท้อนถึงความเรียบง่ายของบ้านพระศาสดามูฮัมหมัดใน“นครมะดีนะฮ์” ซึ่งถือว่าเป็นมัสยิดแห่งแรกในประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นต้นแบบของศิลปะทางอาหรับที่โครงสร้างจะเป็นลานเปิดกว้างตรงกลาง รายล้อมไปด้วยโซนต่างๆ ที่สามารถใช้งานได้หลากหลายกันไปในแบบมัลติฟังก์ชั่น เหมาะสำหรับชาวมุสลิมที่จะเข้ามารวมตัวกันประกอบพิธีกรรมทางศาสนา รวมถึงเข้ามาใช้สอยพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกัน
โครงสร้างและการตกแต่งโดยรวมของมัสยิดแห่งนี้ได้มีการใช้หินทรายก่อผนังโดยรอบด้านพร้อมกับทำซุ้มประตูเป็นวงโค้งเรียงติดกัน แลดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมรอบด้านที่เป็นทะเลทราย สีโทนเหลืองของหินทรายจะไปตัดกับสีขาวสว่างของตัวโดมครึ่งวงกลมที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเหนือพื้นที่ห้องประกอบพิธีกรรม ถัดจากผนังด้านนอกจะเป็นพื้นที่ส่วนลานหินอ่อนพร้อมด้วยหอคอยอาซาน(หอคอยกระจายเสียงขณะทำพิธีละหมาด) ซึ่งตัวหอคอยจะตกแต่งผนังโดยรอบด้วยกระเบื้องโมเสคสีขาวทั้งหมด ส่งผลให้พื้นที่บริเวณลานกว้างนี้กลมกลืนไปด้วยสีขาวโพลน ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ขนาดเล็กที่ปลูกเป็นแถวเรียงยาวบนตัวลานกว้าง สร้างบรรยากาศอันแสนสงบเหมาะเป็นพื้นที่พบปะของกลุ่มคนได้อย่างผ่อนคลาย ทั้งนี้ตัวลานกว้างจะเป็นพื้นที่สำหรับเชื่อมไปยังห้องโถงประกอบพิธีกรรมต่อไป
ส่วนพื้นที่ประกอบพิธีกรรมนั้นจะอยู่ด้านในสุดซึ่งอยู่ถัดจากลานหินอ่อน โดยการเข้าถึงพื้นที่นี้จะต้องเดินผ่านซุ้มประตูโค้งหลายชั้นซึ่งจะมีทางเดินแยกเชื่อมไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั้งห้องอาหาร ห้องน้ำ ได้อย่างสะดวก ส่วนห้องละหมาดที่อยู่บริเวณโถงใหญ่จะถูกแยกออกเป็นสองชั้น ซึ่งชั้นล่างจะเป็นพื้นที่ทำละหมาดสำหรับเพศชาย ส่วนเพศหญิงจะมีทางเดินแยกออกไปต่างหากที่บริเวณมุมห้องไปยังพื้นที่ชั้นลอยด้านบน พร้อมกับกับมีราวกั้นระหว่างชั้นลอยกับชั้นล่างให้พอมองลอดผ่านไปได้ ส่วนบริเวณขอบเพดานห้องโถงจะเป็นกระจกโปร่งแสงเพื่อให้แสงธรรมชาติสาดส่องให้ความสว่างไปยังทั่วท้อง
ชาวมุสลิมที่ก้าวเข้ามายังมัสยิด Al warqa’a mosque จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันสงบที่มากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำกับโซนพื้นที่ โดยเริ่มตั้งแต่พื้นที่อันแสนวุ่นวายภายนอกมัสยิด ถัดมาเป็นโซนลานกว้างหินอ่อนที่สร้างความผ่อนคลายมากขึ้น จนเข้าถึงความสงบที่สุด ณ บริเวณห้องประกอบพิธีกรรมด้านใน เรียกได้ว่ามัสยิดแห่งนี้สร้างมาเพื่อตอบสนองกิจกรรมทางศาสนาของชาวมุสลิม รวมไปถึงยังเป็นแหล่งปฏิสัมพันธ์ที่สำคัญของชุมชน บนสไตล์แบบดั่งเดิมผสมผสานกับความร่วมสมัยอย่างลงตัว
soure : designboom
dezeen