เมื่อเลือกซื้อคอนโดสักที ยังมีสิ่งสำคัญหนึ่งควรคิดที่คุณอาจยังไม่รู้ คือความสูงของตึกที่สามารถแบ่งประเภทได้เป็น High Rise และ Low Rise ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องของอาคารแต่ก็ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยได้มากกว่าที่คุณคิด ด้วยทั้งผลกระทบเรื่องทำเลที่ตั้ง เรื่องความสงบ ไปจนถึงเรื่องราคา

High Rise คือคอนโดที่มีความสูงกว่า 23 เมตรขึ้นไป หรือ 20 – 30 ชั้นขึ้นไป ตามกฎหมายแล้วต้องตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ที่กว้างมากกว่า 10 เมตร จึงเหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์คนเมือง อย่างไรก็ตามข้อควรคำนึงคือสภาพการจราจรรอบบริเวณ นอกจากนี้ด้วยความสูงที่มาก จำนวนยูนิตห้องพักและผู้อยู่อาศัยจึงเยอะตาม อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องคิดจึงคือเรื่องความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตามสิ่งที่มาพร้อมกันก็อาจเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่หลากหลายด้วย ราคาเริ่มต้นโดยประมาณของคอนโด High Rise จะสูงกว่า แต่ก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงตามด้วยเช่นกัน เพราะแนวโน้มการเติบโตราคาที่สูงกว่า จึงเหมาะสำหรับนำไปปล่อยเช่าหรือขายต่อ

ตัวอย่างคอนโด High Rise เช่น Yuu ศรีราชา, RHYTHM เอกมัย เอสเตท และ ปริซึมดีไซน์ เป็นต้น

Low Rise คือคอนโดที่มีความสูงต่ำกว่า 23 เมตร หรือประมาณ 8 – 9 ชั้น เงียบสงบและเป็นส่วนตัวมากกว่าด้วยที่ตั้งที่มักอยู่ในซอย และจำนวนผู้พักอาศัยที่น้อยเพราะมีจำนวนชั้นและห้องน้อยกว่า ข้อดีของคอนโด Low Rise คือราคาที่ต่ำกว่า เหมาะกับการซื้อเพื่อการพักอาศัย แม้ราคาอาจขยับสูงขึ้นได้ตามทำเลและการตกแต่ง

ตัวอย่างคอนโด Low Rise เช่น ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท สุขุมวิท 107, THE NIGH CONDO ปิ่นเกล้า-จรัญ และ เวนิโอ สุขุมวิท 10 เป็นต้น

Source

Previous articleMinoru Yamasaki สถาปนิก New Formalist ผู้ออกแบบตึกแฝด World Trade Center
Next articleสำรวจ Grid Line Boundary Pavilion
ที่เชื่อมพื้นที่ระหว่าง ธรรมชาติ ร้านกาแฟ
และบริบทโดยรอบทั้งเก่าและใหม่เข้าด้วยกัน