บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร หรือ DRT ส่งซิกผลงานไตรมาส 1/62 เติบโตตามเป้า จากความแข็งแกร่งด้านความหลากหลายของสินค้าวัสดุก่อสร้างภายใต้แบรนด์ตราเพชร หนุนยอดขายขยายตัวได้ดีในทุกผลิตภัณฑ์และทุกช่องทางการจำหน่าย วางแผนเร่งการผลิตและบริหารสต๊อกสินค้าให้เพียงพอกับความต้องการ เพื่อรับโอกาสการขายและรักษาการเติบโต
สาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ แผ่นบอร์ด ยิปซัม อิฐมวลเบาและบริการหลังการขายภายใต้ แบรนด์ “ตราเพชร” เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1/62 จะเติบโตได้ตามเป้าหมาย หลังจากความสามารถทางการแข่งขันในการทำตลาดวัสดุก่อสร้างมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
“เราดำเนินกลยุทธ์การตลาดภายใต้แนวคิด สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง มุ่งสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภคในด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ตราเพชรที่นำไปใช้ก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลัง ทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น และเลือกซื้อสินค้าเพิ่มสูงขึ้น”
ด้วยปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้สินค้าทุกกลุ่มทั้งระบบหลังคา และกลุ่มสินค้าผนังและพื้น มีอัตราการเติบโตที่ดี ขณะที่ผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบาก็มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตั้งเป้ามีกำไรในปีนี้ เช่นเดียวกับช่องทางการจัดจำหน่ายทั้ง 4 ช่องทาง ได้แก่ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อย ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ ลูกค้าโครงการและต่างประเทศมีอัตราขยายตัวได้ดีขึ้นเช่นกัน รวมถึงบริหารจัดการด้านต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพและการบริหาร Product Mix จะช่วยรักษาอัตราการกำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ให้อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย 25-27%
นอกจากนี้ DRT จะรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 80-90% จากฐานการผลิต 3 แห่ง ได้แก่ จังหวัดสระบุรี ขอนแก่น และเชียงใหม่ ที่มีกำลังการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์และผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบา รวมกันมากกว่า 1 ล้านตันต่อปี โดยก่อนหน้านี้ได้ลงทุนติดตั้งระบบโรบอทภายในโรงงานเพื่อรับมือปัญหาขาดแคลนแรงงานในระยะยาว คาดว่าเริ่มใช้งานได้ภายในเดือนมีนาคมนี้
“ยอดขายช่วง 2 เดือนแรกของเราอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เนื่องจากเรามีสินค้าที่หลากหลาย และปีที่ผ่านมาได้เร่งเสริมทีมช่างติดตั้งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการให้บริการ ส่งผลดีต่อคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น”
สาธิตกล่าวว่า แนวโน้มไตรมาส 2/62 คาดว่าจะรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทพยายามเร่งการผลิต และการบริหารจัดการด้านสต๊อกสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภค หลังจากได้ลงทุนขยายพื้นที่คลังสินค้ารองรับการเพิ่มปริมาณการจัดเก็บสต๊อกสินค้า
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) พิจารณาอนุมัติแผนการลงทุน NT 11 (กลุ่มไม้สังเคราะห์) เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน รองรับความต้องการใช้สินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในอนาคต คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300-400 ล้านบาท ซึ่งหากบอร์ดเห็นชอบ จะใช้เวลาดำเนินการซื้อเครื่องจักรและติดตั้งพร้อมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ภายใน 14-15 เดือน