ต้นไม้ให้ประโยชน์มหาศาลต่อเมืองใหญ่รวมไปถึงพื้นที่ที่มีผู้อยู่อาศัยกว่า 10 ล้านคน ซึ่งมีงานวิจัยของ Theodore Endreny จาก SUNY’s College of Environmental ที่ได้ศึกษาและลงความเห็นไว้ว่าในเมืองใหญ่ที่เราอาศัยกันอยู่นั้นไม่ควรมองข้ามคุณค่าที่ได้รับจากพืชพันธุ์ที่มีอยู่โดยรอบ เพราะต้นไม้สามารถให้ประโยชน์เราได้มากกว่าที่คิด
เหล่านักวิจัยได้มุ่งเป้าการศึกษาไปที่ลอสแองเจลิส ปักกิ่ง โตเกียว มุมไบ บัวโนสไอเรส มอสโก ลอนดอน อิสตันบูล เม็กซิโก และไคโร ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่และมีผู้อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก โดยประมาณการจากแบบจำลอง i-Tree ที่ได้รับการพัฒนาโดย United States Forest Service ซึ่งใช้ในการวิเคราะห์ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้รับจากต้นไม้ผ่านข้อมูลท้องถิ่น และพวกเขาพบว่าค่าเฉลี่ยของต้นไม้ขนาดกำลังโตที่พบเห็นบริเวณรอบเมืองอยู่ที่ประมาณ 21 เปอร์เซ็นต์ และต้นไม้ที่โตเต็มวัยอยู่ที่ประมาณ 19 เปอร์เซ็นต์ ขนาดของต้นไม้ที่มีอยู่จะแตกต่างกันไปในแต่ละเมือง ยกตัวอย่างเช่น ในเมืองไคโรจะมีขนาดต้นไม้อยู่ประมาณ 8.1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เมืองมอสโกอยู่ที่ 36 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ CityLab ระบุไว้ว่าโตเกียวเป็นประเทศที่สามารถคว้ารางวัลต้นไม้ที่มี่ขนาดใหญ่ที่สุดไปได้
ในทุก ๆ ปีพวกเขาได้รับผลตอบแทนจำนวน 482 ล้านดอลล่าร์ในการลดมลพิษทางอากาศ 11 ล้านดอลล่าร์ในการฟื้นฟูระบบน้ำฝน 8 ล้านดอลล่าร์ในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมไปถึงสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 5 แสนดอลล่าร์สำหรับการระบายความร้อนและสร้างความเย็นมาแทนที่ ประโยชน์ที่แต่ละเมืองได้รับจากต้นไม้นั้นล้วนแตกต่างกันไป เช่น ไคโรเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีหิมะหรือฝนตกมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทำการฟื้นฟูระบบน้ำฝนได้ดีเท่าที่ควร ส่วนมุมไบก็เป็นเมืองที่มีการใช้พลังงานต่ำกว่าเมืองอื่น ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้รับประโยชน์เท่าไหร่นัก แต่ลอสแองเจลิสเป็นเมืองที่ได้รับประโยชน์จากต้นไม้มากที่สุด เพราะพวกเขาสามารถกดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ทั่วเมืองได้เป็นจำนวนมาก
นักวิจัยแนะนำว่าในเมืองใหญ่ควรปลูกต้นไม้ให้มากขึ้นเพื่อเก็บเกี่ยวประโยชน์เพิ่มเติมที่ได้รับนอกเหนือจากลำต้น ไม่ว่าจะเป็นกิ่งก้านหรือใบไม้ นอกจากนี้ ยังมีผู้คนอีกเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ดังนั้นการพัฒนาครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งหนทางที่สามารถช่วยเรื่องการอยู่อาศัยของคนเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
Source: inhabitat